อย่างที่เราได้นำเสนอมาโดยตลอดว่า VALUATION ของตลาดหุ้นบ้านเราอยู่ใน เกณฑ์ที่ถูก ไม่ว่าจะมองในมุมของ MARKET EARNING GAP, ค่า PER หรือ PBV ซึ่งโดยธรรมชาติของ VUATION ที่ถูกราคาหุ้นพร้อมที่จะปรับตัวสูงขึ้น หาก ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่กดทับลดน้ำหนักลง หรือ มีSENTIMENT เชิงบวก เข้ามาหนุน ซึ่งในวันนี้เราได้เห็นภาพดังกล่าวคือ ตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้น 1.09 – 1.58% เมื่อคืน ถือเป็น SENTIMENT เชิงบวก ขณะที่เห็นอีกหนึ่งแรงหนุนเพิ่มเข้า มา คือค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาที่บริเวณ 35.8 – 35.9 บาท/ USD ซึ่งตีความว่า น่าจะทำให้FUND FLOW หยุดไหลออก หรือมากกว่านั้นไหลกลับเข้ามาได้ ภาพ ดังกล่าวน่าจะทำให้ SET INDEX วันนี้ดีดตัวขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตามเมื่อมองไป ข้างหน้าก็ยังเห็นปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนได้อยู่ นำโดยสถานการณ์สงคราม อิสราเอล-ฮามาส ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่สงครามจะขยายวง
คาดว่า SET INDEX มีโอกาสที่จะเกิด TECHNICAL REBOUND ได้ต่อเนื่องใน วันนี้ ประเมินกรอบกาคเคลื่อนไหวของ SET INDEX ที่ 1388 – 1407 จุด ยังคง เน้นให้ทำ BUY & HOLD หุ้น TOP PICK วันนี้ADVANC, CPALLและ TU
ปัจจัยภายนอกยังดูทรง ๆ
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ REBOUND ดีดตัวขึ้นราว 0.6% - 1.6% หลังจากปรับตัวลง หนักในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งยังไม่มีปัจจัยเชิงลบเข้ามากดดัน ขณะที่พัฒนาการของ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล – ฮามาส โดยล่าสุดอสราเอลได้เปิดฉากปฏิบัติการ ภาคพื้นดินบุกฉนวนกาซา แม้จะรุนแรงและยืดเยื้อ แต่การสู้รบยังถือว่าอยู่ในวงจำกัด ส่งผลให้ราคาน้ำดิบ WTI ร่วงลงอีกราว 3.5% ทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หรืออยู่ ในระดับเดียวกับก่อนเกิดการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566
ขณะเดียวกันในวันนั้ยังมีประเด็นที่น่าติดตามทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ดังน
• จีน มีรายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือน ต.ค. โดยตัวเลขที่ออกมาเช้านี้ อยู่ที่ 49.5 จุด ซึ่งต่ำกว่าตลาดคาดและเดือนก่อนที่ 50.2 จุด เนื่องจากเป็น ช่วงที่ตรงกับหยุดยาว GOLDEN WEEK ทำให้ภาคการผลิตชะลอตัว
• ยุโรป มีรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ต.ค. ซึ่งคาดว่าจะชะลอตัวลงต่อเนื่อง และตัวเลข GDP ใน 3Q66
ส่วนในสหรัฐฯ ยังคงต้องจับตาการประชุม FED ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งน่าจะเห็นการตึง ดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% รวมทั้งตัวเลขภาคแรงงานในปลายสัปดาห์นี้
สรุป ภาพรวมในต่างประเศยังไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวมา จากแรง REBOUND ขณะที่ในสัปดาห์นี้มีหลายประเด็นที่น่าติดตาม อาทิ การ ประกาศตัวเลข PMI ภาคการผลิตของจีน, การประชุม ครม. และการประชุม คณะกรรมการ DIGITAL WALLET ในบ้านเรา, การประชุม FED ฯลฯ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทยอยมาอย่างต่อเนื่อง หนุนเม็ดเงิน ไหลเข้า และค่าเงินบาทแข็งค่า
รัฐบาลใหม่วางแผนทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง อาทิ เปิดสนามบินเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง, ลดค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมเหลือ 3.99 บาท/หน่วย, ลด น้ำมันเบนซิน / ดีเซล, พักหนี้เกษตรกร 3 ปี, ค่ารถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย, DIGITAL WALLET 10,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน ลดราคาสินค้ากว่า 20 รายการ, LANDBRIDGE และ ขยายเวลาปิดสถานบันเทิง เป็นต้น
ซึ่งวันนี้จะมีการประชุม ครม. ซึ่งประเด็นที่คาดจะถูกเสนอในที่ประชุมมี ดังนี้
• ลุ้นอนุมัติลดราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ลง 2.50 บาทต่อลิตร •
เสนอให้น้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม (คุมราคา+ส่งออก) หลังราคาปรับขึ้น 4 บาทต่อกิโลกรัม
• ลุ้นดันกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม”
ดังนั้นประเด็นดังกล่าวทำให้ FLOW ต่างชาติทยอยไหลเข้าประเทศไทยทั้งทางตรงและ ทางอ้อม สังเกตได้จากค่าเงินบาทที่ทยอยแข็งค่า จนล่าสุดอยู่ที่ระดับ 35.91 บาท/ เหรียญฯ
อย่างไรก็ตามประเด็น DIGITAL WALLET ยังมีความไม่ชัดเจน หลังที่ปรึกษานายกฯ ให้ ความเห็นว่า โครงการดังกล่าวมีหลายอย่างต้องปรับเปลี่ยน ทั้งจำนวนคนได้รับสิทธิ, พื้นที่ที่สามารถใช้สิทธิได้ และกระบวนการต่างๆยังไม่เรียบร้อย โดยงบประมาณที่จะใช้ ต้องผ่านการอนุมัติจากสภาฯ ซึ่งจะมีความล่าช้า ไม่น่าจะทันเบิกจ่ายใน ก.พ.2567 แต่ จะสามารถใช้ได้ในช่วง ก.ย.2567 แทน และน่าจะกลับไปใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง เนื่องจาก มองว่าการพัฒนาระบบขึ้นมาใหม่ต้องใช้เวลานานและยุ่งยาก ประเด็นดังกล่าวอาจเป็น SENTIMENT เชิงลบทั้งจากความคาดหวังการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2567 มี โอกาสลดลง จากปัจจุบัน ธปท. คาด GDP ปี 2567 เติบโตได้ 4.4%(รวมนโยบาย DIGITAL WALLET) และเป็น SENTIMENT เชิงลบต่อตลาดหุ้นที่อาจคาดหวังการ เติบโตลดลงได้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม DOMESTIC อาทิ กลุ่ม ธ.พ., ค้าปลีก, ท่องเที่ยว, ขนส่ง, อาหาร เป็นต้น
แต่ในอีกมุมอาจช่วยลดความกังวลเรื่องการกู้เงินเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วน หนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 61.8% รวมถึงหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ระดับกว่า 90% , รวมถึงความกังวลการปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้งของสถาบันการเงินต่างๆ ทั้งนี้นัก ลงทุนต้องติดตามความคืบหน้าประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด เพราะกระแสดังกล่าวมีผลต่อ การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น และปัจจุบันยังไม่ได้ผลสรุปที่ชัดเจน
สรุป เริ่มเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ บวกกับเข้าสู่ช่วง HIGH SEASON ของฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนเศรษฐกิจไทยเติบโตเป็นขั้นบันได ซึ่งเป็น ปัจจัยหนุนต่อ FLOW ต่างชาติให้ทยอยไหลเข้าตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามประเด็น DIGITAL WALLET ที่ยังไม่ชัดเจน อาจทำให้ประมาณการ GDP GROWTH ปีหน้า คลาดเคลื่อนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องพึงระวังไว้เสมอ
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities