🏃 คว้าข้อเสนอ Black Friday ก่อนใคร รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ตอนนี้!รับส่วนลด

เห็นตัวเลือกการลงทุนเต็มไปหมด 

เผยแพร่ 13/09/2566 09:03

ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานปัจจุบัน เรามองเห็นตัวเลือกการลงทุนที่ หลากหลาย เริ่มจากกลุ่มพลังงาน ที่มีแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ขณะที่ การปรับลดราคาน้ำมันดีเซลในประเทศก็ไม่ได้กระทบต่อผู้ประกอบการ ทำให้หุ้น กลุ่มน้ำมัน-โรงกลั่น โดดเด่น ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้าก็ไม่ได้รับผลกระทบจากการลดค่า Ft ถ้ดมาเป็นกลุ่มท่องเที่ยว-เดินทาง ที่ได้รับผลบวกจากการฟรีค่าธรรมเนียมวี ซ่า นักท่องเที่ยวจีน สำหรับหุ้นกลุ่มขนส่งอย่าง BEM น่าจะถูกตีความเชิงบวก หากรัฐขับเคลื่อนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พร้อมชดเชยส่วนต่างให้ ผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นการดึงผู้โดยสารเข้าสู่ระบบ ในอีกด้านหนึ่ง นโยบบาย Digital Wallet10,000 บาท และการเปิดตัวiPhone 15 ก็น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นค้า ปลีก และตราบใดก็ตามที่เรายังเห็นตัวเลือกการลงทุนที่มากมาย ก็สะท้อนภาพ ให้เห็นว่า SET Index ยังไปต่อได้

คาด SET Index ยังมีแรงขับเคลื่อนให้ปรับขึ้นต่อด้วย ปัจจัยบวกที่แวดล้อมใน หลายกลุ่มอุตสาหกรรม วันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1540 –1555 จุด หุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), BEM และ PTTEP

ราคาน้ำมันขยับขึ้น หลัง Demand เริ่มมา – Supply หาย

วานนี้ราคาน้ำมันดิบ Brent ดีดตัวต่อเนื่องอีก 1.57% มาอยู่ที่ 92 เหรียญฯ/บาเรล ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 2566 อยู่ที่86.3 เหรียญฯ/บาร์เรล ทำให้เดือน ก.ย. จะเป็น เดือนแรกในปีนี้ที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น YoY ดังนั้นระยะถัดไปอาจจะต้องระวังเรื่องเงิน เฟ้อที่อาจสูงขึ้นอย่างมีนัยฯ

ส่วนในคืนนี้รอติดตามเงินเฟ้อสหรัฐเดือน ส.ค. โดย Consensus คาดเงินเฟ้อทั่วไป +3.6%YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน และจะเห็นเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงเป็น +4.3%YoY ทั้งนี้ หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด เชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนน้อยลง

ในมุมของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น มีแรงกดดันทั้งจากฝั่ง Demand และ Supply ดังนี้

• Demand Side มีแนวโน้มสูงขึ้น หลังรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจเพิ่มเติมนับแต่เดือน ก.ค. ทำให้เดือน ส.ค. เริ่มเห็นการฟื้นตัวใน ภาค Consumption มีทิศทางดีขี้น และเมื่อมองในมุมงบประมาณการคลัง ของจีนใน 7 เดือนแรกปี 2566 มีการเบิกจ่ายไปเพียง 3.3 ล้านล้านหยวน (42% ของงบฯ ขาดดุลทั้งหมด) ถือว่าน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2565 ทั้งนี้ การใช้จ่ายที่ล่าช้าในช่วง 1H66 หวังว่าจะมาเติมเต็มใน 2H66 ซึ่งจะช่วยหนุน ให้ Demand เพิ่มขึ้น

• Supply Side มีแนวโน้มลดลง หลัง ซาอุฯ และรัสเซียประกาศขยายเวลา ปรับลดกำลังผลิตถึงสิ้นปีขณะที่กลุ่ม OPEC คาด ใน 4Q66 อาจเผชิญกับ ปัญหาขาดแคลนน้ำมันสูงถึง 3.3 ล้านบาเรล/วัน นอกจากนี้ยังกระแสกดดัน จากลิเบียประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังการผลิตได้ (ปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน)

ภาวะดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ คาดหุ้นที่ได้ Sentiment เชิงบวก อาทิ SCGP PTTEP PTTGP TOP IVL ฯลฯ

สรุป ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฝั่ง Demand มีแนวโน้มกลับมา ฟื้นตัวจากสัญญาณทีดีขึ้นในเศรษฐกิจจีน ขณะที่ฝั่ง Supply มีกระแสกดดันทั้งจาก การขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตในซาอุฯ และรัสเซีย รวมถึงล่าสุดยังเกิดปัญหา น้ำท่วมหนักในลิเบีย ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังการผลิตได

ประเทศไทย เริ่มเดินหน้าสู่ยุคใหม่ … FUTURE THAILAND (2)

หลังจากเสร็จสิ้นวาระการประชุมแถลงนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา(11-12ก.ย.66) วันนี้จะมีการประชุม ครม. นัดแรก โดยมีวาระการประชุม ดังนี้

• ขอความเห็นชอบในหลักการเดินหน้าโครงการ Digital Wallet โดยจะเริ่มต้น เดือน ก.พ. 67

• การลดราคาพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า อาจลดน้ำมันดีเซลสูงสุดลิตรละ 2 บาท (เพื่อให้เหลือ 30 บาท/ลิตร) และอาจลดค่า Ft ลงอีก 0.2 บาท/หน่วย (มาอยู่ที่ 4.25 บาท/หน่วย)

• มาตรการพักหนี้เกษตรกร 3 ปีอัดงบกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะ เกิดใน 4Q66

• มาตรการเตรียมพร้อมรับมือเอลนีโญ

• มาตรการวีซ่าฟรี (นักท่องเที่ยวไม่ต้องขอวีซ่า) โดยจะเริ่มต้นได้เร็วที่สุดภายใน วันที่ 25 ก.ย.66 และสิ้นสุดปลายเดือน ก.พ.67

• ขอความเห็นชอบเป็นกรอบเวลาในการเริ่มทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 อาจต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลเพิ่ม 1 แสนล้านบาท

อีกนโยบยที่ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมแต่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น คือ นโยบาย รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยวานนี้รมต.คมนาคม ให้แนวทางไว้ว่า นโยบาย ดังกล่าวสามารถเป็นรูปธรรมได้แน่นอน ส่วนระยะเวลาจะต้องดูแต่ละเส้นทางที่มีระบบ แตกต่างกัน ทั้งการให้สัมปทานเอกชนและบางเส้นทางรัฐดำเนินการเองหรือบาง เส้นทางมีกทม.เป็นคู่สัญญา ดังนั้น การให้เก็บ 20 บาทตลอดสายเท่ากัน ต้องใช้เวลา พอสมควร แต่สำหรับเส้นทางที่รัฐจะดำเนินการได้เองและทันที คือ สายสีแดง(ตลิ่งชันรังสิต)กับสายสีม่วง(คลองไผ่-เตาปูน)ซึ่งคาดจะเริ่มได้ 1 ม.ค.67

ด้วยวาระการประชุม และนโยบายที่กล่าวไป ล้วนแต่เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจไปข้างหน้า และมีโอกาสที่ GDP Growth ปีหน้าจะโต 5%YoY ตามที่พรรคเพื่อไทยตั้งไว้ตอนหา เสียง ขณะที่กลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว ขนส่ง ขณะที่กลุ่มที่ ได้รับผลกระทบ แต่ราคาหุ้นตอบสนองไประดับหนึ่งแล้ว คือ กลุ่มพลังงาน-โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ เป็นต้น ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ CRC BJC AOT CENTEL BEM TOP PTTEP SPRC BGRIM GPSC เป็นต้น

สรุป รัฐบาลชุดใหม่ เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนให้เศรษฐกิจตั้งแต่ 2H66 เติบโตเป็นขั้นบันได และมีความเป็นไปได้ที่ GDP Growth ปีหน้าจะโต 5% ดังนั้น SET Index จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเป้าหมายหลักของ Flow ต่างชาติ โดยวันนี้มอง กรอบการเคลื่อนไหวในกรอบ 1540-1555 จุด

ค้นหาหุ้นไทยน่าสะสม หวัง Fund flow ไหลหนุนในระยะถัดไป

ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมากที่สุดกว่า 1.35 แสนล้านบาท ตามมาด้วยพอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 592 ล้านบาท ต่างกับ สถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 5.55 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนในประเทศที่ซื้อสุทธิ สูงสุด 8.03 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังขายตราสารหนี้ไทยไปกว่า 1.26 แสนกว่า ล้านบาท

และถ้าเทียบตลาดหุ้นไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 5 ประเทศ พบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อ สุทธิในตลาดหุ้นเอเชียเหนือเป็นหลัก อย่าง ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 8.0 พันล้านเหรียญ (ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.3%) และตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 3.7 พันล้านเหรียญ (ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17.7%) ขณะทีตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ถูกขายสุทธิ ทั้งสิ้น เริ่มจากตลาดหุ้นอินโดนีเซียถูกขายสุทธิเล็กน้อย -47 ล้านเหรียญ (ปรับตัว เพิ่มขึ้น 1.5%) ตามมาด้วยตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิ -265 ล้านเหรียญ (ปรับตัวลดลง -6.0%) และตลาดหุ้นไทยถูกต่างชาติขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาค -3.9 พันล้านเหรียญ (ปรับตัวลดลง -6.2%)

ปัจจัยที่กดดันต่างชาติขายหุ้นไทยหนักสุดในภูมิภาคมีอยู่ 3 ส่วนหลัก คือ

▪ กนง. มีการขึ้นดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง 7 ครั้งในรอบ 12 เดือน จาก 0.5% เป็น 2.25% ตามกลไกจะกดดันให้ตลาดหุ้นจะซื้อขายกันบน P/E ที่ถูกลง

▪ เศรษฐกิจไทย ขาดความต่อเนื่องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเติบโตช้ากว่าที่ คาด โดย GDP 1Q66 เติบโตเพียง 2.6%YoY และ GDP 2Q66 เหลือการ เติบโตเพียง 1.8% เท่านั้น

▪ เกิดสุญญากาศทางการเมือง หรือใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยนรัฐบาลนานเกิน กว่า 100 วัน ส่งผลให้เกิดการชะลอการลงทุนชั่วคราว สะท้อนได้จากมูลค่า ซื้อขายเฉลี่ยในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ลดเหลือเพียง 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน เท่านั้น

หลังจากนี้ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยมี Downside ที่ค่อยๆ แคบลง หลังผ่านปัจจัยลบ ต่างๆ มาพอสมควร และต่อจากนี้มีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัวได้ดีขึ้น ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้

▪ สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ อยู่ในระดับต่ำมากๆ แล้ว Dowside น่าจะจำกัด โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือน ส.ค. ต่างชาติถือครองหุ้นไทย ทางตรง 23.94% แต่ถ้าลบหุ้น DELTA ออกจะเหลือการถือครองเพียง 18.7% เท่านั้น

▪ ปัจจัยภายนอก 1). วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จบ หลังจาก Fed ขึ้นดอกเบี้ย มาแล้วใน 1 ปี 7 เดือน จาก 0.25% มาเป็น 5.5% ซึ่งสูงกว่าเงินเฟ้อปัจจุบันที่ ลดลงเหลือ 3.3% พอสมควร ส่งผลให้ตลาดคาด Fed น่าจะคงดอกเบี้ยไป จนถึงต้นปี 2567 ก่อนทยอยปรับลง 2). รัฐบาลจีนออกมาตการกระตุ้น เศรษฐกิจเพิ่มเติมมาเรื่อยๆ หลังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า และภาคอสังหาฯมีหนี้ สูง พร้อมผิดนัดชำระ ซึ่งประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนทั้ง ทางตรง และทางอ้อม

▪ ปัจจัยภายในประเทศ 1.) การเมืองมีพัฒนาการเชิงบวกมากเรื่อยๆ หลังผ่าน ระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่มาเกินกว่า 3 เดือนครึ่ง และน่าจะเห็น การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ในช่วงที่เหลือของปี ทั้งการลดราคา พลังงาน, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และความคาดหวัง การแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป 2.) หลังการเมืองคลี่คลาย มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยทยอยเพิ่มขึ้น ตามกลไกช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นได้ 3.) แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากนี้ โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมินกำไรช่วง 2H66 มีโอกาสเติบโตขึ้นได้ 19%HoH และเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 อีก 12.6%

ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด น่าจะช่วยหนุนให้เห็น Fund Flow ทั้งในและต่างประเทศทยอย กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นได้ในระยะถัดไปได้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการทยอย สะสมหุ้น อีกทั้งยังมีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น โดยฝ่าวิจัยแนะนำ 3 ธีม น่าสะสม ดังนี้

1. หุ้นอิงเศรษฐกิจจีน SCGP, PTTGC, IVL

2. หุ้นอิงนโยบายรัฐบาลใหม่ BJC, CRC, CPAXT, BEM, ADVANC, TRUE, AOT, ERW

3. หุ้น Laggard ราคาน้ำมัน PTTEP, TOP, SPRC

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย