ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานปัจจุบัน เรามองเห็นตัวเลือกการลงทุนที่ หลากหลาย เริ่มจากกลุ่มพลังงาน ที่มีแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ขณะที่ การปรับลดราคาน้ำมันดีเซลในประเทศก็ไม่ได้กระทบต่อผู้ประกอบการ ทำให้หุ้น กลุ่มน้ำมัน-โรงกลั่น โดดเด่น ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้าก็ไม่ได้รับผลกระทบจากการลดค่า Ft ถ้ดมาเป็นกลุ่มท่องเที่ยว-เดินทาง ที่ได้รับผลบวกจากการฟรีค่าธรรมเนียมวี ซ่า นักท่องเที่ยวจีน สำหรับหุ้นกลุ่มขนส่งอย่าง BEM น่าจะถูกตีความเชิงบวก หากรัฐขับเคลื่อนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พร้อมชดเชยส่วนต่างให้ ผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นการดึงผู้โดยสารเข้าสู่ระบบ ในอีกด้านหนึ่ง นโยบบาย Digital Wallet10,000 บาท และการเปิดตัวiPhone 15 ก็น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นค้า ปลีก และตราบใดก็ตามที่เรายังเห็นตัวเลือกการลงทุนที่มากมาย ก็สะท้อนภาพ ให้เห็นว่า SET Index ยังไปต่อได้
คาด SET Index ยังมีแรงขับเคลื่อนให้ปรับขึ้นต่อด้วย ปัจจัยบวกที่แวดล้อมใน หลายกลุ่มอุตสาหกรรม วันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1540 –1555 จุด หุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), BEM และ PTTEP
ราคาน้ำมันขยับขึ้น หลัง Demand เริ่มมา – Supply หาย
วานนี้ราคาน้ำมันดิบ Brent ดีดตัวต่อเนื่องอีก 1.57% มาอยู่ที่ 92 เหรียญฯ/บาเรล ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 2566 อยู่ที่86.3 เหรียญฯ/บาร์เรล ทำให้เดือน ก.ย. จะเป็น เดือนแรกในปีนี้ที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น YoY ดังนั้นระยะถัดไปอาจจะต้องระวังเรื่องเงิน เฟ้อที่อาจสูงขึ้นอย่างมีนัยฯ
ส่วนในคืนนี้รอติดตามเงินเฟ้อสหรัฐเดือน ส.ค. โดย Consensus คาดเงินเฟ้อทั่วไป +3.6%YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน และจะเห็นเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงเป็น +4.3%YoY ทั้งนี้ หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด เชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนน้อยลง
ในมุมของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น มีแรงกดดันทั้งจากฝั่ง Demand และ Supply ดังนี้
• Demand Side มีแนวโน้มสูงขึ้น หลังรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจเพิ่มเติมนับแต่เดือน ก.ค. ทำให้เดือน ส.ค. เริ่มเห็นการฟื้นตัวใน ภาค Consumption มีทิศทางดีขี้น และเมื่อมองในมุมงบประมาณการคลัง ของจีนใน 7 เดือนแรกปี 2566 มีการเบิกจ่ายไปเพียง 3.3 ล้านล้านหยวน (42% ของงบฯ ขาดดุลทั้งหมด) ถือว่าน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2565 ทั้งนี้ การใช้จ่ายที่ล่าช้าในช่วง 1H66 หวังว่าจะมาเติมเต็มใน 2H66 ซึ่งจะช่วยหนุน ให้ Demand เพิ่มขึ้น
• Supply Side มีแนวโน้มลดลง หลัง ซาอุฯ และรัสเซียประกาศขยายเวลา ปรับลดกำลังผลิตถึงสิ้นปีขณะที่กลุ่ม OPEC คาด ใน 4Q66 อาจเผชิญกับ ปัญหาขาดแคลนน้ำมันสูงถึง 3.3 ล้านบาเรล/วัน นอกจากนี้ยังกระแสกดดัน จากลิเบียประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังการผลิตได้ (ปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน)
ภาวะดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ คาดหุ้นที่ได้ Sentiment เชิงบวก อาทิ SCGP PTTEP PTTGP TOP IVL ฯลฯ
สรุป ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฝั่ง Demand มีแนวโน้มกลับมา ฟื้นตัวจากสัญญาณทีดีขึ้นในเศรษฐกิจจีน ขณะที่ฝั่ง Supply มีกระแสกดดันทั้งจาก การขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตในซาอุฯ และรัสเซีย รวมถึงล่าสุดยังเกิดปัญหา น้ำท่วมหนักในลิเบีย ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังการผลิตได
ประเทศไทย เริ่มเดินหน้าสู่ยุคใหม่ … FUTURE THAILAND (2)
หลังจากเสร็จสิ้นวาระการประชุมแถลงนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา(11-12ก.ย.66) วันนี้จะมีการประชุม ครม. นัดแรก โดยมีวาระการประชุม ดังนี้
• ขอความเห็นชอบในหลักการเดินหน้าโครงการ Digital Wallet โดยจะเริ่มต้น เดือน ก.พ. 67
• การลดราคาพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า อาจลดน้ำมันดีเซลสูงสุดลิตรละ 2 บาท (เพื่อให้เหลือ 30 บาท/ลิตร) และอาจลดค่า Ft ลงอีก 0.2 บาท/หน่วย (มาอยู่ที่ 4.25 บาท/หน่วย)
• มาตรการพักหนี้เกษตรกร 3 ปีอัดงบกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะ เกิดใน 4Q66
• มาตรการเตรียมพร้อมรับมือเอลนีโญ
• มาตรการวีซ่าฟรี (นักท่องเที่ยวไม่ต้องขอวีซ่า) โดยจะเริ่มต้นได้เร็วที่สุดภายใน วันที่ 25 ก.ย.66 และสิ้นสุดปลายเดือน ก.พ.67
• ขอความเห็นชอบเป็นกรอบเวลาในการเริ่มทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 อาจต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลเพิ่ม 1 แสนล้านบาท
อีกนโยบยที่ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมแต่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น คือ นโยบาย รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยวานนี้รมต.คมนาคม ให้แนวทางไว้ว่า นโยบาย ดังกล่าวสามารถเป็นรูปธรรมได้แน่นอน ส่วนระยะเวลาจะต้องดูแต่ละเส้นทางที่มีระบบ แตกต่างกัน ทั้งการให้สัมปทานเอกชนและบางเส้นทางรัฐดำเนินการเองหรือบาง เส้นทางมีกทม.เป็นคู่สัญญา ดังนั้น การให้เก็บ 20 บาทตลอดสายเท่ากัน ต้องใช้เวลา พอสมควร แต่สำหรับเส้นทางที่รัฐจะดำเนินการได้เองและทันที คือ สายสีแดง(ตลิ่งชันรังสิต)กับสายสีม่วง(คลองไผ่-เตาปูน)ซึ่งคาดจะเริ่มได้ 1 ม.ค.67
ด้วยวาระการประชุม และนโยบายที่กล่าวไป ล้วนแต่เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจไปข้างหน้า และมีโอกาสที่ GDP Growth ปีหน้าจะโต 5%YoY ตามที่พรรคเพื่อไทยตั้งไว้ตอนหา เสียง ขณะที่กลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว ขนส่ง ขณะที่กลุ่มที่ ได้รับผลกระทบ แต่ราคาหุ้นตอบสนองไประดับหนึ่งแล้ว คือ กลุ่มพลังงาน-โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ เป็นต้น ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ CRC BJC AOT CENTEL BEM TOP PTTEP SPRC BGRIM GPSC เป็นต้น
สรุป รัฐบาลชุดใหม่ เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนให้เศรษฐกิจตั้งแต่ 2H66 เติบโตเป็นขั้นบันได และมีความเป็นไปได้ที่ GDP Growth ปีหน้าจะโต 5% ดังนั้น SET Index จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเป้าหมายหลักของ Flow ต่างชาติ โดยวันนี้มอง กรอบการเคลื่อนไหวในกรอบ 1540-1555 จุด
ค้นหาหุ้นไทยน่าสะสม หวัง Fund flow ไหลหนุนในระยะถัดไป
ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมากที่สุดกว่า 1.35 แสนล้านบาท ตามมาด้วยพอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 592 ล้านบาท ต่างกับ สถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 5.55 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนในประเทศที่ซื้อสุทธิ สูงสุด 8.03 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังขายตราสารหนี้ไทยไปกว่า 1.26 แสนกว่า ล้านบาท
และถ้าเทียบตลาดหุ้นไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 5 ประเทศ พบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อ สุทธิในตลาดหุ้นเอเชียเหนือเป็นหลัก อย่าง ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 8.0 พันล้านเหรียญ (ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.3%) และตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 3.7 พันล้านเหรียญ (ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17.7%) ขณะทีตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ถูกขายสุทธิ ทั้งสิ้น เริ่มจากตลาดหุ้นอินโดนีเซียถูกขายสุทธิเล็กน้อย -47 ล้านเหรียญ (ปรับตัว เพิ่มขึ้น 1.5%) ตามมาด้วยตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิ -265 ล้านเหรียญ (ปรับตัวลดลง -6.0%) และตลาดหุ้นไทยถูกต่างชาติขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาค -3.9 พันล้านเหรียญ (ปรับตัวลดลง -6.2%)
ปัจจัยที่กดดันต่างชาติขายหุ้นไทยหนักสุดในภูมิภาคมีอยู่ 3 ส่วนหลัก คือ
▪ กนง. มีการขึ้นดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง 7 ครั้งในรอบ 12 เดือน จาก 0.5% เป็น 2.25% ตามกลไกจะกดดันให้ตลาดหุ้นจะซื้อขายกันบน P/E ที่ถูกลง
▪ เศรษฐกิจไทย ขาดความต่อเนื่องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเติบโตช้ากว่าที่ คาด โดย GDP 1Q66 เติบโตเพียง 2.6%YoY และ GDP 2Q66 เหลือการ เติบโตเพียง 1.8% เท่านั้น
▪ เกิดสุญญากาศทางการเมือง หรือใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยนรัฐบาลนานเกิน กว่า 100 วัน ส่งผลให้เกิดการชะลอการลงทุนชั่วคราว สะท้อนได้จากมูลค่า ซื้อขายเฉลี่ยในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ลดเหลือเพียง 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน เท่านั้น
หลังจากนี้ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยมี Downside ที่ค่อยๆ แคบลง หลังผ่านปัจจัยลบ ต่างๆ มาพอสมควร และต่อจากนี้มีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัวได้ดีขึ้น ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้
▪ สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ อยู่ในระดับต่ำมากๆ แล้ว Dowside น่าจะจำกัด โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือน ส.ค. ต่างชาติถือครองหุ้นไทย ทางตรง 23.94% แต่ถ้าลบหุ้น DELTA ออกจะเหลือการถือครองเพียง 18.7% เท่านั้น
▪ ปัจจัยภายนอก 1). วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จบ หลังจาก Fed ขึ้นดอกเบี้ย มาแล้วใน 1 ปี 7 เดือน จาก 0.25% มาเป็น 5.5% ซึ่งสูงกว่าเงินเฟ้อปัจจุบันที่ ลดลงเหลือ 3.3% พอสมควร ส่งผลให้ตลาดคาด Fed น่าจะคงดอกเบี้ยไป จนถึงต้นปี 2567 ก่อนทยอยปรับลง 2). รัฐบาลจีนออกมาตการกระตุ้น เศรษฐกิจเพิ่มเติมมาเรื่อยๆ หลังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า และภาคอสังหาฯมีหนี้ สูง พร้อมผิดนัดชำระ ซึ่งประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนทั้ง ทางตรง และทางอ้อม
▪ ปัจจัยภายในประเทศ 1.) การเมืองมีพัฒนาการเชิงบวกมากเรื่อยๆ หลังผ่าน ระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่มาเกินกว่า 3 เดือนครึ่ง และน่าจะเห็น การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ในช่วงที่เหลือของปี ทั้งการลดราคา พลังงาน, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และความคาดหวัง การแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป 2.) หลังการเมืองคลี่คลาย มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยทยอยเพิ่มขึ้น ตามกลไกช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นได้ 3.) แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากนี้ โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมินกำไรช่วง 2H66 มีโอกาสเติบโตขึ้นได้ 19%HoH และเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 อีก 12.6%
ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด น่าจะช่วยหนุนให้เห็น Fund Flow ทั้งในและต่างประเทศทยอย กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นได้ในระยะถัดไปได้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการทยอย สะสมหุ้น อีกทั้งยังมีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น โดยฝ่าวิจัยแนะนำ 3 ธีม น่าสะสม ดังนี้
1. หุ้นอิงเศรษฐกิจจีน SCGP, PTTGC, IVL
2. หุ้นอิงนโยบายรัฐบาลใหม่ BJC, CRC, CPAXT, BEM, ADVANC, TRUE, AOT, ERW
3. หุ้น Laggard ราคาน้ำมัน PTTEP, TOP, SPRC
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities