หลังจากที่ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 SET Index ก็สามารถดีดตัวขึ้นมายืนที่ บริเวณ 1545 จุดได้ตามคาด ในระยะสั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเห็น Momentum ขยับขึ้นต่ออีกเล็กน้อย โดยส่วนหนึ่งเป็นแรงหนุนจากการจัดงาน Thailand Focus 23-25 ส.ค. ซึ่งปกติจะมีเม็ดเงินลงทุนจากสถาบันในประเทศ และต่างชาติ ไหลเข้ามาในช่วงเวลาที่จัดงาน แต่จากนี้ไปยังมีหลายเรื่องที่ต้องตาม เริ่มจากภาพ การเมือง ต้องดูว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพรรคร่วมรัฐบาลจะมากพอ ในการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ที่ได้หาเสียงไว้หรือไม่, กระแสการเคลื่อนไหว นอกสภาจะมีทิศทางอย่างไร ในมุมของเศรษฐกิจ หลังประกาศตัวเลข GDP Growth 2Q66 ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ต้องปรับลดประมาณการลง ขณะที่ เศรษฐกิจของจีนที่เป็นคู่ค้าสำคัญอยู่ในภาวะที่ชะลอตัว นอกจากนี้ในมุมของ ประมาณการ EPS ปี 2566 ของตลาดหุ้นไทย ก็มีโอกาสถูกปรับลดลงมาด้วย
ประเมินว่าในระยะสั้น SET Index ยังมีMomentum เหวี่ยงขึ้นได้ แต่จะไม่ไกลจาก 1545 จุดนัก ประเมินแนวต้านที่ 1560 จุด และแนวรับที่ 1535 จุด หุ้น Top Pick วันนี้ เลือก AMATA, BJC และ GULF
ข้างนอกดูไม่ค่อยสดใส หวังเม็ดเงินไหลเข้าไทยในช่วงนี้
วานนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวในกรอบแคบ เนื่องจากไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาช่วยหนุน ขณะที่ความเสี่ยงเศรษฐกิจ Recession ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หลังสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกต่างมีการปรับลดอันดับความ น่าเชื่อถือของสหรัฐฯ นับแต่ช่วงต้นเดือน ส.ค. 2566 เริ่มจาก
• วันที่ 2 ส.ค. Fitch Ratings ปรับอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาว
สกุลเงินต่างประเทศของสหรัฐ จากระดับ AAA ลดลงสู่ AA+
• วันที่ 8 ส.ค. Moody’s ปรับอันดับความเชื่อถือของธ.พ.ขนาดกลางและขนาด
เล็กของสหรัฐฯ 10 แห่ง ลดลง 1 ขั้น พร้อมประกาศทบทวนเครดิตของ ธ.พ.
ขนาดใหญ่อีกครั้ง (6 แห่งอาจถูก Downgrade)
• และล่าสุด วันที่ 22 ส.ค. S&P Global Ratings ปรับลดอันดับเชื่อถือของธ.พ.
สหรัฐฯ 5 แห่ง และยังมีแนวโน้มว่าจะ Downgradeเครดิต ธ.พ.อีกหลายแห่ง
ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงอาจกดดันเศรษฐกิจ รวมถึงภาคธนาคารในสหรฐฯ เผชิญกับ ปัญหาที่มากขึ้นในระยะถัดไป ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐฯ (US Regional BANK Index) ปรับตัวลดลงกว่า 11.2%Mtd และวานนี้ -2.5% ความ กังวลดังกล่าวทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย หนุน Dollar Index +0.3%
ในทางกลับกันบ้านเราค่อนข้างจะความเสี่ยงที่น้อยกว่า โดย Fitch Ratings ยังคง อันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ในระดับเดิมที่ BBB+ อีกทั้งสถานะทางการเงินของ ไทยยังแข็งแกร่ง ตั้งแต่ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่ค่อยๆ ดีขึ้น รวมถึงเงินทุนสำรอง ระหว่างประเทศของไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นตามการแข็งค่าของเงินบาท
นอกจากนี้บ้านเรายังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากประเด็นทางการเมือง หลังได้นายกฯ คนที่ 30 จนทำให้วานนี้เงินบาทแข็งค่ากว่า 0.5% จึงเชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ Fund Flow มีโอกาสไหลเข้าไทยมากขึ้นหลังจากนี้
สรุป สถาบันฯ จัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกต่างมีการปรับลดอันดับความ น่าเชื่อถือของสหรัฐฯ หนุนเม็ดเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่บ้านเรามีคว่มเสี่ยงที่ น้อยกว่า บวกกับสถานะทางการเงินที่ยังดูดี และยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากประเด็น ทางการเมือง จึงเชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ Fund Flow มีโอกาสไหลเข้าไทย มากขึ้น
การได้ตัวนายก ทำ SET พุ่งแตะ 1545 จุด แต่นับจากนี้มองดัชนี ตึงตัวระยะสั้น
วานนี้ผลการประชุมรัฐสภา วาระการโหวตนายกฯรอบที่ 3 มีมติห็นชอบ 482 เสียง (สส.330+สว.152) ไม่เห็นชอบ 165 เสียง (สส.152+สว.13) งดออกเสียง 81 เสียง (สส. 13+สว.68) ทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เป็น นายกฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งกระบวนการหลังจากนี้ คือ รัฐสภาจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ต่อมาจะต้องดำเนินการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) และให้ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจสอบคุณสมบัติเพื่อโปรดเกล้าฯ และเตรียมเข้าเฝ้าถวาย สัตย์ปฏิญาณ(ถิอเป็นการสิ้นสุดรัฐบาลรักษาการ) ตามด้วยการแถลงนโยบาย โดย ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดน่าจะเสร็จสิ้นภายในต้น ก.ย.66
ด้วย Sentiment การโหวตนายกรอบที่ 3 สำเร็จ ทำให้ SET Index ถูกผลักดันไป ทดสอบแนวต้าน 1545 จุด ซึ่งฝ่ายวิจัยฯมองว่าการปรับขึ้นต่อของ SET Index สามารถทำได้ แต่ต้องพึ่งพา Fund flow ต่างชาติ เป็นหลัก ซึ่งหากไม่มี คาดทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้อีกไม่ไกล โดยวันนี้มองกรอบแนวต้านที่ระดับ 1560 จุด ขณะที่ ปัจจัยกดดันยังมีทั้งจากภายนอก และภายในประเทศ เริ่มด้วยเศรษฐกิจจีนที่ส่ง สัญญาณชะลอตัวลง GDP Growth ปลายปี อาจโตไม่ถึง 5%YoY ในส่วนไทย GDP 2Q66 +1.8%YoY ทำให้ประมาณการ GDP Growth ปีนี้ของหลายสำนักเศรษฐกิจ ปรับลง บวกกับต้องรอดูท่าทีการเคลื่อนไหวของกลุ่มชุมนุมต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ใน อนาคต
ขณะที่ประเด็นถัดไปที่ต้องติดตาม คือ นโยบายหลักๆของพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้กับ ประชาชน เช่น Digital Wallet 10,000 บาท, ที่ดินทำกิน, ขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, เกณฑ์ทหารโดยสมัครใจ, เพิ่ม ราคาพืชผลเกษตร, แก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในจังหวัด ชายแดนภาคใต้, กัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ และจะแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งนโยบายบางส่วนที่ต้องใช้เม็ดเงินในการขับเคลื่อน ไม่ได้มีการบรรจุไว้ในงบประมาณปี 2566 จึง จำเป็นต้องรอการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ซึ่งจะถูกเบิกจ่ายช่วง 1 ต.ค.66 – 30 ก.ย.67 แต่เนื่องเป็นช่วงคาบเกี่ยวของการ เลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาล ทำให้กระบวนการ ในการจัดทำงบประมาณปี 2567 ล่าช้ากว่าปกติ โดยฝ่ายวิจัยฯคาดว่าช่วงเวลาที่จะ สามารถนำเม็ดเงินงบประมาณปี 2567 มากระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายที่หาเสียงไว้จะ อยู่ในช่วง ปลาย 1Q67 หรือ ต้น 2Q67ซึ่งกลุ่มหุ้นที่คาดว่าสามารถจะเก็งกำไรได้จาก ประเด็นดังกล่าว คือ หุ้นกลุ่มค้าปลีก เช่าซื้อ อสังหาฯ ท่องเที่ยว อาทิ CRC CPALL (BK:CPALL) BJC TIDLOR MTC SAWAD LH SC SIRI PR9 CENTEL ERW MINT เป็นต้น
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินการได้ตัวนายกฯ ถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ SET Index วานนี้ แต่ระยะถัดไปมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจชะลอตัว และความเสี่ยงการเกิดการ ชุมนุมนอกสภา ซึ่งทำให้ SET ปรับขึ้นได้จำกัด หากไม่มี Flow ต่างชาติคอยหนุน โดย วันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในกรอบ 1535-1560 จุด
หาหุ้นน่าสะสมต่อ หลังตลาดรับ Sentiment ทางการเมือง มาแล้วระดับหนึ่งชอบ BJC GULF TRUE
วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง21.91 จุด (1.44%) สูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ตอบรับการผ่านสุญญากาศทางการเมืองกว่า 101 วัน อีกทั้งยังคาดหวังนโยบาย ต่างๆ ของเพื่อไทยที่หาเสียงไว้ สะท้อนได้จากหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาแรงในวานนี้ ส่วนใหญ่ กระจุกตัวอยู่ในกลุ่ม FIN (XPG 11.5% BAM 6.5%, TIDLOR 6.0%, ASK 4.7%, AEONTS 3.4%), FOOD (CBG 8.4% TKN 3.9%, CPF 3.1%, XO 3.4%), COMM (CPAXT 5.1% CPC 4.4%, KAMART 3.8%, BJC 3.6%, CPALL 3.2%), CONS (CK 3.1%)
ขณะที่ในช่วง 23 – 25 ส.ค. 66 มีการจัดงาน Thailand Focus 2023 พอดี น่าจะเป็น แรงจูงใจให้นักลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ หันมาสนใจและเพิ่มน้ำหนักในการลงทุน ขึ้นบ้าง อีกทั้งสถิติในอดีตยังชี้ให้เห็นว่าช่วงที่มีการจัดงาน Thailand Focus 6 ปีที่ผ่าน มา SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปีเฉลี่ย +1.1%
ภายใต้ตลาดหุ้นไทยที่ตอบรับเชิงบวก ประเด็นการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองมาในระดับ หนึ่ง ฝ่ายวิจัยจึงทำการค้นหาหุ้นเด่นน่าสะสมในช่วงนี้ คือ “หุ้นที่ราคายังLaggardรับ กระแสการเมือง และยังเข้าร่วมงาน Thailand Focusในปีนี้” โดยผ่านเงื่อนไขต่างๆ ดังน
1. มี Momentum รับกระแสการเมือง (หุ้นที่ขึ้นแรงในวานนี้)
2. ราคายังต่ำกว่าช่วงก่อนวันเลือกตั้ง (ราคา Laggard มีช่องว่างในการขยับขึ้น ต่อ)
3. เข้าร่วมงาน Thailand Focus ในช่วง23 –25 ส.ค. นี้(ได้ Sentiment เชิงบวก คาดหวัง Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาหนุนเพิ่มเติม)
จากรายชื่อดังกล่าวฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ SAWAD, EA, CRC, CPAXT, BJC, TRUE, GULF, STEC
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities