ตลาดผ่อนคลายขึ้นมาระดับหนึ่ง

มติเอกฉันท์ ของที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับพิจารณาคำร้องของผู้ตรวจการ แผ่นดิน ทำให้กระบวนการในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในนรัฐสภา เดินหน้า ต่อ โดยน่าจะมีการนัดหมายประชุมเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 22 ส.ค.66 ซึ่ง เป็นการโหวต Candidate จากพรรคเพื่อไทย สถานการณ์ดังกล่าวถือว่าผ่อน คลายลงไประดับหนึ่ง แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่ จะได้คะแนนเสียงเกิน 375 เสียงของรัฐสภาหรือไม่ การเจรจาต่อรองตำแหน่งใน ครม. ของพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงกระแสนอกสภา ส่วนประเด็นทางเศรษฐกิจ เป็นเรื่องของทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยที่ระดับความกังวลว่าอาจเห็นการขยับขึ้น กลับมารบกวนตลาด ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียน 2Q66 ออกมาหดตัวตามคาด โดยลดลง 16.3% QoQ และ 36.2% YoY อาจเปิด Downsideให้ประมาณการ

แม้ระดับความกังวลทางการเมืองลดลงไประดับหนึ่ง แต่ยังคงต้องติดตาม สถานการณ์ใกล้ชิด วันนี้คาด SET Index ผันผวนในกรอบ 1505 –1530 จุด หุ้น Top Pick วันนี้เลือก BEM, BJC และ TRUE

ปัจจัยแวดล้อมยังมีความเสี่ยง ทั้งจากเศรษฐจีนชะลอตัว บวก กับดอกเบี้ยไม่นิ่ง

ตลาดหุ้นต่างประเทศยังคงเข้าสู่โหมด Risk-off ต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งดัชนี Hang Seng ที่ปรับตัวลงกว่า -1.4% รวมถึงในฝั่งสหรัฐฯ ร่วงลงราว -0.5% ถึง -1.3% หลัง ยังคงมี Sentiment เชิงลบเข้ามากดดัน

เริ่มจากปัญหาเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงชะลอตัว ทั้งจากภาคอสังหาฯ รวมถึงการ บริโภคภายในประเทศ สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่ค่อยสดใส ส่งผลให้ สถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่ง ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของ จีนในปี 2566 อาทิ JP Morgan คาด +4.8%YoY (เดิมคาด +6.4%) Barclays คาด +4.5%YoY (เดิมคาด 4.9%) นอกจากนี้ Fitch Rating ยังประกาศว่ากำลังพิจารณา ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของจีนจาก A+ ลดลงเหลือเพียง A

ต่อมาในสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ยที่ส่งสัญญาณว่าอาจจะยังไม่สิ้นสุด หลัง รายงานการประชุม FOMC Fed Minute เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2566เผยว่าเจ้าหน้า Fed เริ่มเสียงแตกในมุมมองการขึ้นดอกเบี้ย

• เจ้าหน้าที่ Fed ส่วนหนึ่งสนับสนุนการดำเนินนโยบายที่เข้มงวด เนื่องจาก ความเสี่ยงเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มสูงขึ้น และอาจไม่ลงสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% รวมถึงมองว่าผลของเร่งขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา อาจกระทบต่อเศรษฐกิจ ไม่เต็มที่ บวกกับคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เกิดภาวะถดถอยในปีนี้

• เจ้าหน้าที่ Fed บางท่านเริ่มเห็นโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว เช่น การ ลดลงของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณชย์กำลังส่งผลต่อสถาบันการเงิน

ทั้งนี้ ตลาดยังคงมองว่า Fedจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อ และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25 – 5.5% จนถึงปีหน้า ก่อนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยช่วงต้น 2Q67 อย่างไรก็ตาม โอกาส ในการที่ Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือน พ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่งผล ให้การประชุม Jackson Hold ในวันที่ 24 – 26 ส.ค. มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะเป็นการประชุมที่ ประธาน Fedจะเปิดเผยถึงทิศทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป

ขณะที่มุมมองดอกเบี้ยในบ้านเราล่าสุด ผู้ว่าการ ธปท. ชี้ว่าทิศทางนโยบายการเงิน เริ่มเข้าใกล้ “จุดสมดุล” แล้ว (ดอกเบี้ยใกล้ระดับที่เหมาะสม) สอดคล้องกับศักยภาพ เศรษฐกิจไทย ส่วนปัญหาหนี้ครัวเรือนปัจจุบันที่พุ่งสูง ยังไม่ถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤติ สามารถรับมือได้ ทำให้ฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่าการขึ้นดอกเบี้ยในบ้านเรามีโอกาสน้อยลง ส่งผลดีต่อให้ SET Index ให้มีแนวต้านทางพื้นฐานแรกอยู่ที่ 1542 จุด (ภายใต้ MEYG = 3.7%) และแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1610 จุด (ภายใต้ MEYG = 3.5%)

สรุป ปัจจัยแวดล้อมที่ไม่ค่อยสดใส ตั้งแต่เศรษฐจีนมีความเสี่ยงชะลอตัว จนทำให้ GDP Growth ในปีนี้ถูกปรับลดประมาณการลงมา รวมถึงเจ้าหน้า Fed เสียงแตก ส่ง สัญญาณว่าดอกเบี้ยในสหรัฐอาจยังไม่นิ่ง ซึ่งต้องยัง Monitor ต่อไป ขณะที่บ้านเราที่ ธปท. ชี้ว่าทิศทางนโยบายการเงิน เริ่มเข้าใกล้จุดสมดุลแล้ว ทำให้เชื่อว่าการขึ้นดอกเบี้ย ในบ้านเรามีโอกาสน้อยลง ส่งผลดีต่อ SET Index

หาหุ้นการเมืองเด่น ราคา Laggard

วานนี้รัฐธรรมนูญมีมติเป็นเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีรัฐสภา ใช้ข้อบังคับการประชุมที่ 41 กับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้Candidate นายก ฯ จากพรรคก้าวไกล ไม่สามารถถูกเสนอชื่อชิงเก้าอี้นายกฯ รอบ 2 โดยศาลเห็นว่าผู้ ร้องไม่ได้ถูกละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ม.213 ขณะที่ฝั่งประธานสภา จะนัดหารือวิป 3 ฝ่าย วันที่ 18 ส.ค. 66 เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับวันประชุมเพื่อโหวตนายกรอบที่ 3 พร้อมกับข้อสงสัยของ สว.ว่าแคนดิเดตนายกจากพรรคเพื่อไทย ต้องแสดงวิสัยทัศน์ หรือไม่ โดยเบื้องต้นคาดวันโหวตนายกฯ คือ 22 ส.ค.66

หากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เดินหน้าไปอย่างอย่างราบรื่น ก็จะช่วยลดความ กังวลเรื่องสุญญากาศทางการเมืองและงบประมาณประจำปี 2567 ไปได้ระดับหนึ่ง และ น่าจะทำให้ SET Index ตอบสนองเชิงบวกได้ ส่วนประเด็นการเก็งกำไร ก็อาจเกิดขึ้นกับ หุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายของพรรคเพื่อ ไทย และพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ (นโยบายหลักๆของพรรคร่วมรัฐบาล อาทิ เติมเงิน กระเป๋าดิจิทัล 10,000 บาท, ค่าแรง 600 บาท / เงินเดือน ป.ตรี 25,000 บาท,รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, เปิดศูนย์ฟอกไตเทียมทุกอำเภอ, พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น-หยุดดอก, บัตรประชารัฐ, บัตรสวัสดิการพลัส, คนละครึ่งภาค 2 เป็นต้น)

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นที่เคยร่วงแรงจากความกังวลเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ก่อนหน้านี้ที่มีโอกาสดีดตัวขึ้นมาได้ แนะนำหุ้นเด่น 5 กลุ่ม คือ (1) หุ้นรายได้อิงโครงการ ภาครัฐ STEC, CK, BEM (2) หุ้นหวังพึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม SAWAD, CBG, JMT (3) หุ้นทุนผูกขาด TRUE, CRC, CPN, CPALL (BK:CPALL), BJC (4) หุ้นได้รับผลกระทบปรับ สูตรค่าไฟฟ้า GULF, BGRIM, GPSC, PTTGC (5) หุ้นรับกระแสข่าวดังกล่าว SIRI, SC, ADVANC, PR9, SCB

และจากรายชื่อหุ้นดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ นำมาพิจารณาเพิ่มเติม ในมุมระดับความสูงต่ำ ของราคาในรอบ 1 ปี และผลตอบแทนตั้งแต่ช่วงหลังจากวันเลือกตั้งปี 66 ถึงปัจจุบัน เพื่อ ค้นหาหุ้นการเมืองเด่น ที่ราคายัง Laggard ตลาดตั้งแต่วันเลือกตั้ง (15 พ.ค. - ปัจจุบัน) และน่าซื้อสะสม ได้ผลลัพธ์ดังนี้

• หุ้นที่ Laggard ตลาดในช่วงหลังจากวันเลือกตั้ง และราคาลงมาอยู่ใกล้แนวรับ หรือระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี คือ GPSC, CRC, TRUE, PTTGC, SAWAD

• หุ้นที่ Laggard ตลาด ในช่วงหลังจากวันเลือกตั้ง แต่ภาพรวมระยะกลาง ราคา ยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าตลาด คือ SC, BJC, BGRIM, CPALL, STEC, GULF, PR9

สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินภาพการเมืองมีทิศทางที่สดใสขึ้น และมีโอกาสรู้ตัวนายกฯ ใน สัปดาห์หน้า ขณะที่หลังจากจัดตั้งรัฐบาลและได้ชุด ครม.เรียบร้อย คาดเห็นการ ผลักดันนโยบายของแต่ละพรรคเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป ส่วน Toppick วันนี้ เลือก TRUE BJC BEM เป็น Toppicks

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities