ปัจจัยภายนอกมีน้ำหนักไนทางบวก เริ่มจากการประกาศแนวทางมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ตามด้วย IMF ปรับคาดการณ์ World GDP Growth ปี 2566 จาก 2.8% เป็น 3% ภาวะดังกล่าวช่วยลดความกังวลต่อภาวะ Recession ที่อาจเกิดขึ้นลงไปได้ระดับหนึ่ง สภาพแวดล้อมดังกล่าวน่าจะทำให้เม็ดเงินมีโอกาส ไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งดีต่อตลาดหุ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยในประเทศ ได้แก่เรื่องการเมืองยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยได้ต่อเนื่อง ล่าสุดมีการ เลื่อนกำหนดการประชุมรัฐสภา จากเดิมที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีใน วันที่ 27 ก.ค.66 ซึ่งต้องติดตามว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไร เนื่องจากมีตัวแปรเรื่อง ที่ ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา กรณีการใช้ข้อบังคับการ ประชุมที่ 41 ของรัฐสภากับการเลือกนายกรัฐมนตรี ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ประเมินว่า SET Index น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1520 – 1545 จุด โดยรอ ติดตามสถานการณ์การเมืองต่อเนื่อง Investment Theme ช่วงนี้ เน้นไปที่ Global Play หุ้น Top Pick เลือก BEM, SCC และ SCGP
ปัจจัยภายนอกดูผ่อนคลาย ปัจจัยภายในดูคลุมเครือ หนุน SET ผันผวนในกรอบแคบก่อนช่วงหยุดยาว
วานนี้ผลตอบแทนสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นยังปรับตัวขึ้นต่อ ทั้งในสหรัฐฯ +0.1% ถึง +0.6% โซนยุโรป +0.1% ถึง +0.2% ขณะที่โซนเอเชียปรับตัวขึ้นราว 0.2%-4.1% ซึ่งตลาดหุ้น Hong Kong และจีนปรับตัวขึ้นโดดเด่นตอบรับมาตรการจีนกระตุ้น เศรษฐกิจในประเทศ ผ่านการประชุม Politburo วันพรุ่งนี้(รายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ใน หัวข้อถัดไป)
โดยปัจจัยหนุนสินทรัพย์เสี่ยงหลักมาจาก 2 ส่วนหลักๆ ดังนี้
1. รอผลการประชุม FOMC ในวันพรุ่งนี้ซึ่งมีโอกาสที่จะสิ้นสุดวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยตลาดคาดว่า FED มีโอกาสจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ 5.50% ในการประชุมเดือน ก.ค.66(โอกาสเกิด 98%) และจะทรงตัวในระดับดังกล่าวจนถึงสิ้นปี ขณะที่ปีหน้า ตลาด คาด FED จะทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยลง โดยมองดอกเบี้ย ณ สิ้นปีหน้าอยู่เพียง 4.25%
2. วานนี้ทาง IMF ได้มีการปรับประมาณการ GDP รอบที่ 3 ของปีนี้โดยมองว่า GDP โลกปี 2023 จะขยายตัว 3% เพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย.ที่คาด 2.8% โดยประเทศกลุ่ม พัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่ปรับ GDP Growth ขึ้นหมด นำโดยสหรัฐปรับจาก 1.6% เป็น 1.8% หลังความกังวลในภาคธนาคารลดลง และตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ยัง มีการจับจ่ายใช้สอยในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 0.8% เป็น 0.9% สเปน เพิ่มขึ้นจาก 1.5% เป็น 2.5% และญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจาก 1.3% เป็น 1.4% มีเพียงเยอรมนีที่ ถูกปรับ GDP ลงจาก -0.1% เป็น -0.3% เนื่องจากผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอ ตัวลง ส่วนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามองว่า GDP จะเติบโตที่ 4% เพิ่มขึ้นจากงวด ก่อนที่ +3.9% เริ่มจากจีนที่ถูกคงประมาณการเท่าเดิมที่ 5.2%เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย และไทย ที่ถูกคงประมาณการเท่าเดิมที่ระดับ 5.0% และ 3.4% ตามลำดับ
แม้ปัจจัยภายนอกจะสดใส แต่ปัจจัยในประเทศยังคลุมเครือ ซึ่งมาจากทิศทางการจัดตั้ง รัฐบาลที่ยังไม่รู้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ซึ่งล่าสุด ประธานรัฐสภา ได้สั่งงดการประชุมวิป 3 ฝ่ายในวันที่ 25 ก.ค.66 และได้สั่งงดการประชุมเลือกนายกรอบที่ 3 ในวันที่ 27 ก.ค.66 ออกไปก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเรื่องการเสนอชื่อซ้ำ “นายพิธา” แคนดิเดตนายกจากพรรคก้าวไกล เป็นญัตติหรือไม่
ซึ่งประเด็นดังกล่าว อาจส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ล่าช้า และทำให้เกิด สุญญากาศของรัฐบาล และ สุญญากาศของงบประมาณ โดยปกติแล้วงบประมาณ รายจ่ายปี 2567 จะถูกเบิกจ่ายช่วง 1 ต.ค. 2566 – 30 ก.ย.2567 ซึ่งหากเกิด สุญญากาศจนถึง พ.ค.67 จะทำให้ช่วงเวลาที่จะใช้พิจารณางบประมาณสั้นลง และ ใช้ ประโยชน์ได้ไม่เท่าที่ควร ดังนั้นประเด็นดังกล่าว คาดทำให้สัปดาห์นี้ Flow ต่างชาติมโอกาสไหลออกช่วงสั้น และกดดัน SET Index กลับไปทดสอบแนวรับแรกที่ระดับ 1520 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1500 จุด
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงแนะนำเอนเอียงน้ำหนักพอร์ตการลงทุนมาที่หุ้น Global Play หรือ หุ้นหวังจีนจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น คาดมีโอกาส Outperform ตลาดได้ดีในช่วงนี้ อย่าง SCGP, TOP, BANPU, PTTEP, IVL, PTTGC , III, ERW ฯลฯ ซึ่งกลุ่มดังกลุ่มเริ่ม Outperform SET Index สังเกตได้จากผลตอบแทนของกลุ่ม อุตสาหกรรมวานนี
สรุป ปัจจัยภายนอกที่สดใส ขณะที่ปัจจัยภายในยังคลุมเครือเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล หนุนให้ SET Index มีโอกาสผันผวนในกรอบแคบก่อนช่วงหยุดยาว ดังนั้นกลยุทธ์การ ลงทุนเน้นหุ้น Global Play ที่ราคายังน่าสนใจ และมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน เลือก SCGP SCC และชอบ BEM ที่กำไรจะฟื้นตัวเป็นขั้นบันไดตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็น Toppicks
รัฐบาลจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจหนุน GDP ไทยกระตุกขึ้น
วานนี้สมาชิกระดับสูงของ Politburo ได้ส่งสัญญาณในการสนับสนุนภาค อสังหาริมทรัพย์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของ GDP จีน โดยมาตรการดังกล่าวอาจ รวมไปถึงการยกเลิกการจำนองที่ต้องใช้เงินดาวน์สูงขึ้น รวมถึงข้อจำกัดในการกู้ สำหรับผู้ที่เคยถือครองสินทรัพย์มาก่อน นอกจากนี้ยังได้เตรียมออกมาตรการอื่นๆ เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นของประชาชนและกระตุ้นภาคการบริโภค (รายละเอียดดัง ตารางด้านล่าง) หลัง GDP ใน 2Q66 ออกมาต่ำกว่าคาด อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของจีนนับแต่ช่วงต้นปี สะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอตัวแม้จะมีการเปิดประเทศ
เศรษฐจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2H66 จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ฝ่ายวิจัย เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยมีความหวังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดย ธปท. คาด GDP บ้านเราในปี 2566-67 จะขยายตัว 3.6% และ 3.8% ตามลำดับ ซึ่งทุก องค์ประกอบมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะ “ภาคการบริโภค” และ “ภาคการส่งออก” ที่มี โอกาสขยายตัวได้เด่น
และจากการประมาณการของสำนักเศรษฐกิจต่างๆ พบว่า GDP ไทยในปี 2566 จะ เติบโตเฉลี่ย +3.5%YoY ทำให้ในช่วงไตรมาสที่ 2-4 ของปีนี้ (3Q ที่เหลือของปีนี้) GDP จะต้องขยายตัวเฉลี่ย 3.8%YoY และ 2.3%QoQ
สรุป เศรษฐจีนมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวในช่วง 2H66 หลังรัฐบาลจีนส่งสัญญาณการ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นอีกแรงผลักสำคัญให้ GDP ไทย สามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง สำหรับหุ้นเด่นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจจีน ฟื้นตัว อาทิ SCGP SCC BEM HANA KCE AOT (BK:AOT) ERW เป็นต้น
คาดหวัง Fund Flow ไหลกลับ หลังสุญญากาศทางการเมือง
ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่องถึง 1.2 แสนล้าน บาท โดยถูกกดดันจากปัจจัยต่างๆ คือ เศรษฐกิจจีนฟื้นช้ากว่าที่คาด, ประเด็น การเมืองร้อนแรง และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 3 ครั้งในปีนี้จาก 1.25% เป็น 2% กดดัน P/E ซื้อขายหุ้นไทยถูกลง
อย่างไรก็ตามในช่วงที่เหลือของปีน่าจะเห็น Fund Flow สลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยมากขึ้น จากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. จีนมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในการประชุม Politburo ในวันที่ 27 ก.ค. นี้ซึ่งจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย เป็นอันดับ 1 มีสัดส่วน 22.2% จากทุก ประเทศ
2. ตลาดเชื่อว่า การขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. มีโอกาสชะลอลง หลังจากขึ้นมา ติดต่อกัน 6 ครั้ง ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา และล่าสุด Bond Yield ระยะสั้น 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ใกล้เคียง หรือน้อยกว่าดอกเบี้ยนโยบาย (ช่วงก่อน หน้า Bond Yield สูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายก่อนการประชุม กนง. ที่มีการ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเสมอ)
3. การเมืองน่าจะได้รัฐบาลใหม่เร็วๆ นี้ พร้อมกับคาดหวังมาตการกระตุ้น เศรษฐกิจใหม่ๆ หลังจากห่างหายมานาน
4. แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนช่วง 2H66 มีโอกาสฟื้นตัว YoY สูง จากฐาน ช่วง 2H65 ที่ต่ำเพียง 4.14 แสนล้านบาท (ปกติอยู่ในช่วง 4.5 –5 แสนล้าน บาท) และมีโอกาสฟื้นตัว HoH
ทั้ง 4 ปัจจัย ช่วยหนุนให้ SET Index มีโอกาสทยอยฟื้นขึ้นได้ ทั้งจากสภาพคล่อง และ โอกาสการซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้น (แรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยลดลง) บวกกับ แนวโน้มกำไร 2H66 ที่มีโอกาสฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้ Fund Flow ต่างชาติมี โอกาสสลับเข้ามาซื้อสะสมหุ้นไทยเพิ่มเติม หลังจากผ่านช่วงสุญญากาศทางการเมือง ไปแล้ว
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities