ปัญหาที่เกิดขึ้นในสถาบันการเงินของสหรัฐ ซึ่งในช่วง 1 - 2 สัปดาห์ มีสถาบัน การเงิน 3 แห่ง ที่ปิดตัวลง ได้แก่ Silvergate Capital, Silicon Valley Bank และ ล่าสุด Signature Bank ทั้งนี้เรามี 5 มุมมองต่อเรื่องดังกล่าว 1) ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งผลมาจากการที่ Fed มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแรง ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ ของสถาบันการเงินลดลง ซึ่งกรณีดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้กับสถาบันการเงินอื่นๆ ซึ่งต้องติดตาม 2) คาดว่า Fed น่าจะทบทวนท่าที่ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยโดยอาจ ชะลอลง 3) ค่าเงิน USD น่าจะมีแนวโน้มอ่อนค่า 4) โอกาสที่จะนำไปสู่ภาวะ Recession ในสหรัฐ เพิ่มขึ้น และ 5) ความผันผวนต่อตลาดการเงินโลกจะมีมาก ขึ้นในช่วงจากนี้ไป ส่วนบ้านเรา ผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นในเชิง Sentiment ส่วนผลกระทบในทางพื้นฐานไม่น่าจะมีนัยสำคัญ
คาดว่า SET Index จะได้รับ Sentiment เชิงลบอันเนื่องมาจากปัญหาสถาบัน การเงินในสหรัฐ แต่ยังมองว่าแนวรับ 1580 จุด น่าจะรองรับได้ ส่วนแนวต้าน 1610 จุด หุ้น Top Pick เลือก CBG, HMPRO และ MAJOR และถือเงินสดเพิ่มขึ้น
ดอกเบี้ยสูงทำพิษ กระทบต่อฐานะของสถาบันการเงินสหรัฐฯ
อัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่เร่งตัวขึ้นมาสูง (ปัจจุบันอยู่ที่ 4.75%) ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ชัดเจนมากขึ้น โดยเริ่มจากกลุ่มธนาคาร ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามี2 สถาบันการเงินฯ ที่ ต้องปิดกิจการ ได้แก่ ธนาคาร Silvergate หลังประสบปัญหาการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจ Cryptocurrency ไม่ว่าจะเป็น Coinbase (NASDAQ:COIN) , Micorstrategy , FTX รวมถึงSilicon Valley Bank (SVB) ที่กระทบถึง Coinbase และ USDC – US Stable coin Cryptocurrency
การปิดตัวลงของ SVB เป็นประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นธนาคาร ขนาดอันดับ 16 ของสหรัฐฯ และนับเป็นเหตุธนาคารล้มครั้งใหญ่สุดในสหรัฐฯ ในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา
โดยมีลำดับเหตุการณ์ เริ่มจาก SVB ประกาศงบการเงินหลังตลาดปิดในวันพฤหัสที่ผ่านมา โดยได้ขายหุ้น มูลค่ากว่า 2.25 พันล้าน USD (Market Cap. หลังตลาดปิดวันศุกร์เหลือ 6.27 พันล้าน USD) โดยบริษัทมีผลขาดทุนจากการขายตราสารหนี้ไป 1.8 พันล้าน USD จากการขายตราสารหนี้ไปเป็นจำนวนกว่า 2 หมื่นล้าน USD เพื่อรักษาสภาพคล่อง ซึ่ง ประสบปัญหาเรื่อง NPL จากการปล่อยกู้ในธุรกิจ Startup ในสหรัฐและขาดสภาพคล่อง จากเงินฝากก่อนใหม่มีน้อยเกินไปทำให้ต้องเร่งระดมทุนและขายทรัพย์สิน ขณะที่ปัจจุบัน ทางการสหรัฐฯ ได้เข้ามาสั่งปิดธนาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ FDIC (Federal Deposit Insurance Corporation) จะเข้ามาดำเนินการจ่ายเงินประกันตามที่กฎหมายคุ้มครองที่ 250,000 USD ถ้าดูตัวเลขไตรมาส 4 มีจำนวนบัญชี 2.7% เท่านั้นที่เป็นบัญชีเงินฝากของ ผู้ฝากเงินรายย่อย
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการประเมินผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ดังนี้
1. ต้นเหตุของการล่มสลายสามารถเกิดขึ้นกับธนาคารอื่นได้ทั่วไป จากปัญหาขาด สภาพคล่องและการปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัท Start up มากจนเกินไป ซึ่งมีความ เสี่ยงสูงต่อการผิดนัดชำระหนี้ขณะที่เช้านี้ทางการสหรัฐฯ ยังมีการสั่งปิดธนาคาร เพิ่มเติมคือ Signature Bank (SBNY) เพื่อจำกัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น พร้อมทั้ง ย้ำถึงจุดยืนในการประกันเงินฝากของสถาบันการเงิน
2. ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยอาจจะลดความร้อนแรงลง โดย Fed การประชุมฉุกเฉิน ในวันนี้ (13 มี.ค. เวลา 11.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น) เพื่อถกปัญหาดังกล่าว รวมถึง ทบทวนและตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า ซึ่งอาจมีโอกาสที่ Fed จะขึ้น ดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุม 22 มี.ค. นี้ ขณะที่ Fed Watch Tool ให้ น้ำหนักสูงถึง 82.6%
3. ดอลลาร์อ่อนค่า จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยที่แตกต่างกันระหว่าง Fed กับ ECB โดย ตลาดคาดวันที่ 22 มี.ค. Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ 5% ส่วน ECB มีรอบการ ประชุมที่เร็วกว่า วันที่ 16 มี.ค. และขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่า 0.5% มาอยู่ที่ 3.5% รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะต้องเผชิญกับความเสี่ยง Recession
4. โอกาสเกิด Recession อาจสูงในระยะถัดไป เนื่องจากปัญหาของ SVB อาจเห็น ผลกระทบได้หลายทาง ตั้งแต่ Bank Run โดยเฉพาะธนาคารขนาดเล็ก , การ ขาดทุนจากการขายตราสารหนี้เพื่อรักษาสภาพคล่องเพื่อป้องกัน Bank Run , ธุรกิจที่ฝากเงินไว้กับ SVB Bank อาจขาดสภาพคล่องในการทำธุรกิจ
5. เกิดความผันผวนในตลาดการเงินไปอีกระยะหนึ่ง ตั้งแต่ Bond Yield สหรัฐฯ โดยเมื่อวันศุกร์ปรับตัวลงมาราว -5.2% ถึง -5.8% ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงมาก ว่า -1.1% ถึง -2.9% ทำให้บริษัทที่น่ากังวล ได้แก่ บริษัทที่มีเงินฝากเป็นจำนวน มาก, ธนาคารขนาดเล็กที่มีบัญชีเงินฝากมากกว่าจำนวนที่กฎหมายคุ้มครอง 250,000 USD เป็นจำนวนมาก และธนาคารที่มีผล Unrealized loss อยู่ในพอร์ท เป็นจำนวนมาก
สรุป อัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่พุ่งสูงอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจมากขึ้น โดย ล่าสุด เกิดการล่มสลายอันรวดเร็วของธนาคาร SVB ขณะที่ในอนาคาคตอาจจะลุกลาม ไปยังภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความเสี่ยงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็น Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นบ้านเราด้วยเช่นกัน
ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่มีผลต่อการตัดสินใจของ FED
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางการสรหัฐมีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจในภาคตลาดแรงงาน โดยเห็นสัญญาณชะลอตัว ดังนี้
• การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ (Nonfarm Payrolls) ปรับตัวลดลงจาก 517,000 ตำแหน่งใน เดือน ม.ค. เป็น 311,000 ตำแหน่ง ในเดือน ก.พ.
• อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจาก 3.4% ใน เดือน ม.ค. เป็น 3.6% ในเดือน ก.พ. ซึ่งสูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ระดับ 3.4%
• ค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ปรับตัวลดลงจาก +0.3%MoM ในเดือน ม.ค. เป็น +0.2%MoM ในเดือน ก.พ. ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดคาดที่ระดับ +0.3% และ ยังเพิ่มขึ้นแบบ YoY น้อยกว่าที่คาดอีกด้วย
นอกจากนี้ยังคงต้องติดตาม ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐในวันที่ 14 มี.ค.นี้เป็นหลัก ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง ปัจจัยที่ Fed ให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายาการเงิน
คาดประเด็น SVB กระทบไทยจำกัด แต่ต้องติดตามในระยะยาว
กระแส SVB Bank ล้มละลาย กดดันตลาดหุ้นโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงนี้แต่ คาดว่ากระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด สะท้อนได้จากการเกิดปัญหาเกิดจากดอกเบี้ยสหรัฐ ถูกเร่งขึ้นมาเร็วกว่า 4.25% ในช่วง 1 ปีจาก 0.5% จนล่าสุดอยู่ที่ 4.75% ขณะที่ดอกเบี้ย ไทย ธปท. ปรับขึ้น 1% ในช่วง 1 ปีจาก 0.5% ล่าสุดอยู่ที่ 1.75% ต่ำกว่าสหรัฐมาก ทำให้ ประสบปัญหาการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและต้นทุนการเงินที่น้อยกว่าสหรัฐมาก
ขณะที่ผลกระทบทางตรง เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ ทำการค้นหาว่า SVB ถือหุ้นใดในบริษัทจด ทะเบียนไทยบ้าง? ซึ่งยังไม่เห็น SVB Bank ติดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ในหุ้นไทย แต่ในอีกมุม เห็นมีETF ที่มีการลงทุนใน SVB Bank ได้แก่ KRE etf 2.34% , XLF etf 0.41% และ กองทุนในประเทศไทย ได้แก่ KT-FINANCE , TUSFIN , ONE-GLOBFIN , KWI-USBANK , BFINTECH เป็นต้น
สรุปคือ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนตามสหรัฐในช่วงนี้ แต่ในอีกมุมเสถียรภาพทาง การเงินสหรัฐที่ลดลง กดดันให้ค่าเงินสหรัฐที่พลิกกลับมาอ่อนค่า และค่าเงินในเอเชีย รวมถึงบาทที่พลิกกลับมาแข็งค่าต่ำกว่า 35 บาท/เหรียญ อีกครั้ง หนุนต่างชาติที่ลงทุน ในไทยมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และตัดสินใจย้ายเม็ดเงินจากสหรัฐ บางส่วนกลับมาสะสมตลาดหุ้นไทยบ้าง ภายใต้ดัชนีที่ต่ำกว่า 1610 จุด
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสดบางส่วน 10 –20% ส่วนหุ้นที่อาจผันผวนในช่วงสั้น คือ หุ้นกลุ่ม BANK, TECH แต่หุ้นที่น่าจะได้รับความสนใจมากขึ้น คือ หุ้นกลุ่ม Real Sector อย่าง กลุ่มอาหาร ค้าปลีก รับเหมาฯ โรงไฟฟ้า รวมถึงกลุ่มพลังงานที่ได้ ประโยชน์จากดอลลาร์อ่อนค่า นอกจากนี้นักลงทุนน่าจะกลับมาโฟกัสเลือกหุ้นที่งบดุล แข็งแกร่งมากขึ้น โดยฝ่ายวิจัยคัดกรองหุ้นที่เหมาะสมกับการรับมือความกังวลประเด็น Stagflation ผ่านเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
1. มีเกราะป้องกันดอกเบี้ยขาขึ้น เป็นหุ้นที่มีภาระหนี้สินต่ำ (D/E 4Q22
2. มีเกราะป้องกันภาวะเงินเฟ้อ เป็นหุ้นที่มีความยืดหยุ่นต่อการกำหนดราคา (Net Profit Margin > 7%)
3. เป็นหุ้นพื้นฐาน ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ มี Upside
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities