ยังคงเห็นนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาต่อเนื่องในเดือน ก.พ.66 จนทำให้ยอด YTD กลายเป็น Net Sell 1.14 หมื่นล้านบาท สาเหตุประการหนึ่งของการไหลออก น่าจะเป็นผลประกอบการ 4Q65 ที่ออกมาต่ำกว่าคาดมาก เพราะหากเรา เทียบเคียงภาวะที่เป็น Negative Surprise ของกำไร 4Q65 เทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค พบว่าบ้านเรามีระดับ Negative Surprise มากที่สุด (27-28%) เชื่อว่า ภาวะดังกล่าวจะดำเนินต่อจนกว่าจะเห็นการสิ้นสุดของการปรับลดประมาณการ กำไรปี 2566 ในช่วงราวกลางเดือน มี.ค.66 ส่วนความกังวลเรื่องทิศทางดอกเบี้ย ในสหรัฐ เชื่อว่าเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นหลังการประชุม FOMC ที่ให้แนวทาง ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ในระดับ 0.25% ต่อครั้ง เพียงแต่การยืน อัตราดอกเบี้ยระดับสูงอาจกินระยะเวลายาวขึ้น เพื่อกดเงินเฟ้อให้ปรับลดลง
SET Indexยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผลประกอบการงวด 4Q65 ที่ออกมาต่ำกว่า คาด ส่วนกระแสเก็งกำไรจากประเด็นการเมืองจะมีน้ำหนักลดลง คาด SET Index อยู่ในกรอบ 1650 – 1670 จุด หุ้น Top Pick เลือก BAM, CBG และ GULF
รายงาน FED MINUTES ไม่มีอะไร SURPRISE ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่ง ผันผวนในกรอบแคบ
รายงานการประชุม Fed Minutes ประจำวันที่ 31 ม.ค.66 – 1 ก.พ.66 มีเนื้อหาส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่ตลาดคาดอยู่แล้ว โดยกรรมการ Fed มีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่า ระดับเป้าหมาย 2% ซึ่ง CPI สหรัฐในเดือน ม.ค. 2566 อยู่ที่ +6.4%YoY (สูงกว่าตลาด คาดที่ +6.2%YoY) และ +0.5%MoM ภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงภาวะที่อัตราเงิน เฟ้อเริ่มลดลงในอัตราที่ช้าลง โดยดัชนีราคาฯ รายเดือนที่กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก ภาคบริการเป็นหลัก เฉพาะอย่างยิ่งค่าเช่าบ้านที่โตต่อเนื่อง ค่าตั๋วเดินทาง ฯลฯ และ ตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว หลังตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายอย่างออกมาดีกว่า คาดในช่วงที่ผ่านมา อาทิ Nonfarm-payroll, Initial Jobless Claim, Unemployment Rate อย่างไรก็ตามกรรมการ Fed ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าควรจะชะลอความแรง ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ โดยจะปรับขึ้นเพียง 25bps. หลังก่อนหน้าขึ้น ดอกเบี้ย 75bps 4 ครั้งติดต่อกัน โดย สะท้อนจาก Fed Watch Tool ที่คาดว่า Fed จะ ปรับขึ้นดอกเบี้ยระหว่างปี 25 bps. ในการประชุมอีก 3 ครั้ง (เดือนมี.ค./พ.ค./มิ.ค.) ขณะที่อัตราดอกเบี้ยปลายปีคาดกลับลงมาสู่ระดับ 5.25% ประเด็นดังกล่าว ทำให้ Dollar Index กลับมาแข็งค่าสุดในรอบ 6 สัปดาห์ และเพิ่มความกังวลประเด็นความเสี่ยงที่ เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะ Recession ในระยะถัดไป
ประเด็นดังกล่าวที่ใจความสำคัญไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่นักลงทุนคาดมากนัก ทำให้ตลาด หุ้นสหรัฐฯแกว่งผันผวนในกรอบแคบ -0.26% ถึง +0.13% ซึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจที่นัก ลงทุนจับตา คือ 23 ก.พ.66 จะมีการเปิดเผยจำนวน Initial Jobless Claim รายสัปดาห์ 24 ก.พ.66 มีการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน ม.ค. 66, ยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค.66 ซึ่งต้องติดตามว่าจะออกมา Positive Surprise อีก หรือไม่ และ Fed จะยังคงมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดต่อไปหรือไม่
สรุป เงินเฟ้อสหรัฐเดือน ม.ค. ที่ยังอยู่ระดับสูง และห่างไกลจากระดับเป้าหมายของ FED ทำให้ FED ยังดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป และกำหนดเพดานการขึ้น ดอกเบี้ยสูงขึ้นเป็น 5.5% ในปี 2566 ซึ่งมีผลให้Dollar Index แข็งค่าต่อเนื่อง อย่างไร ก็ตามประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว และไม่ได้มี Catalyst ใหม่ๆเข้ามากระทบตลาดฯ ทำให้ต้องติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจต่อไปว่า จะออกมาดีกว่าคาดอีกหรือไม่ และ FED จะดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างไร
ครม. อาจเห็นชอบหลายโครงขนาดใหญ่ก่อนยุบสภาฯ เป็น SENTIMENT บวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา
การจัดสรรงบประมาณของภาครัฐช่วงที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนผ่านจากมาตรการเยียวยาเรื่อง Covid-19 มาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น สะท้อนจากงบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ 2566 เพิ่มขึ้น 17.7%YoY เป็น 0.66 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ ที่ 20.9% ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด และในปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.9%YoY เป็น 0.69 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ที่ 20.6% ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม Timeline ทางการเมืองปี 2566 มีความชัดเจนมากขึ้น กล่าวคือ การเลือกตั้ง ทั่วไปน่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 พ.ค.66 ส่วนการยุบสภาฯ อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 7 - 22 มี.ค. 66(หลังยุบสภาฯ ต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง หลังจาก 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน) และคาดว่า จะได้ ครม. ใหม่เข้ามาทำงานราว ส.ค. 66 จึงจะแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ทางโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า ประเมินว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะต้อง ทำงาน และ รักษาการ ต่อไปจนถึงช่วงต้นเดือน ส.ค 66 โดยมีข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่
• ไม่อนุมัติงาน หรืออนุมัติโครงการที่ผูกพัน ครม. ใหม่ เว้นแต่เป็นเรื่องที่อยู่ใน งบประมาณรายจ่ายอยู่แล้ว
• ไม่แต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ หรือให้พ้นตำแหน่ง เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบ จาก กกต.และไม่อนุมัติการใช้งบกลาง เว้นแต่ กกต.จะเห็นชอบก่อนเช่นกัน
• ไม่ใช้ทรัพยากร หรือบุคลากรของรัฐ กระทำการอันมีผลต่อการเลือกตั้ง และไม่ฝ่า ฝืนระเบียบ กกต. เช่น ไม่ประชุม ครม.สัญจร, ไม่โอนงบประมาณเพื่อการแจกจ่าย ของให้แก่ประชาชน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น
และด้วยข้อจำกัดข้างต้น ส่งผลให้หลายโครงการที่กระทรวงคมนาคมรอเสนอ ครม. ซึ่งมี วงเงินกว่า 7 แสนล้านบาท อาทิ โครงการส่วนต่อขยายรถไฟชานเมืองสายสีแดง รวมถึง การโอนสิทธิบริหาร 3 สนามบินให้ ทอท. และโครงการรถไฟทางคู่ ระยะ 2 เป็นต้น จึงทำ ให้ ครม. ชุดปัจจุบันจำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนหมดวาระ ซึ่งคาดว่าจะไม่ เกินวันที่ 15 มี.ค. 66 (กรณียุบสภา) หรือวันที่ 23 มี.ค. 66 (กรณีอยู่ครบวาระ)
สรุป การจัดสรรงบประมาณของภาครัฐเริ่มเห็นแนวโน้มการใช้จ่ายด้านการลงทุนเพิ่ม มากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในโครงสร้างพื้นฐาน ขณะเดียวกัน Timeline หลังยุบสภาในปี 2566 ที่ชัดเจนมากขึ้น บวกกับ การปฏิบัติหน้าที่ของ ครม. รักษาการ จะไม่สามารถ อนุมัติโครงการที่ผูกพัน ครม.ใหม่ได้ซึ่งจากข้อจำกัดดังกล่าว ส่งผลให้หลายโครงการที่ กระทรวงคมนาคมรอเสนอ ครม. จำเป็นต้องดำเร่งเนินการให้แล้วเสร็จก่อนหมดวาระ ปัจจัยข้างต้นคาดว่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มก่อสร้าง รับเหมา อาทิ CK, STEC, TASCO, ITD เป็นต้น
ช่วงฤดูกาลประกาศงบ ภาพรวมต่างชาติขายหุ้นไทยสูงสุดในภูมิภาค แนะนำหุ้นบางบริษัทที่ต่างชาติซื้อสวน ชอบ BAM CBG GULF
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง นับตั้งแต่เริ่มฤดูกาลประกาศงบ 4Q65 ช่วงปลายเดือน ม.ค. 66 ส่งผลให้ยอดซื้อสุทธิรวมที่เคยสูงถึง 2.2 หมื่นล้านบาท พลิกลงมาเป็นขายสุทธิ สะสม 1.14 หมื่นล้านบาท หรือ -334 ล้านเหรียญ (ytd) และเป็นการขายสุทธิที่มากที่สุด ในภูมิภาค ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ยังมีสถานะเป็นซื้อสุทธิ(ytd) อาทิ ไต้หวัน 8.1 พันล้านเหรียญ, เกาหลีใต้ 6.9 พันล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 72 ล้านเหรียญ และอินโดนีเซีย 13 ล้านเหรียญ
ฝ่ายวิจัยสังเกตเห็นและทำการศึกษา “เปรียบเทียบแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ กับ การรายงานงบ 4Q65 ที่สูงหรือต่ำกว่า Consensus” พบว่า มีทิศทางที่สอดคล้องกัน เริ่มจากตลาดหุ้นไทยรายงานงบ 4Q65 ออกมาแล้ว 222 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน Market Cap. 67% ลดลง 26%QoQ และ 33%YoY ที่สำคัญคือต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาด (Negative Surprise) ถึง -27% ต่ำสุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ตามมาด้วยตลาดหุ้นไต้หวัน Negative Surprise -18% ส่งผลให้ยอดซื้อสุทธิของต่างชาติ ในเดือนก.พ. ลดลงจากเดือน ม.ค. อย่างเห็นได้ชัด และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ Negative Surprise -13% ต่างชาติก็สลับมาขายสุทธิในเดือน ก.พ. เช่นกัน ในทางตรงกันข้าม ตลาด หุ้นเกาหลีใต้ งบ 4Q65 รายงานออกมาเป็น Positive Surprise +36% Fund Flow ก็มี การไหลเข้าต่อเนื่องในเดือน ก.พ. และเป็นการซื้อสุทธิที่มากสุดในภูมิภาค
แม้ภาพรวม Fund Flow จะไหลออกจากตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ แต่ฝ่ายวิจัยฯ ได้เข้าไปดู รายละเอียดเป็นรายหุ้น พร้อมกับคัดออกมา 20 หุ้นที่ต่างชาติซื้อสะสมมากสุดในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา (16 – 22 ก.พ. 66)
จากผลลัพธ์20 หุ้นที่ต่างชาติซื้อสะสมส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.7% ชนะ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งฝ่ายวิจัยชื่นชอบ CBG, KTB, MAKRO, GULF, KCE, BAM, CK, SCGP, ORI โดย Top pick วันนี้เลือก BAM, CBG, GULF
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities