รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ทำไมตลาดหุ้น ทองคำ และ BTC ถึงมีโอกาสร่วงลงในวันนี้

เผยแพร่ 07/11/2565 07:43
อัพเดท 09/07/2566 17:32

บทวิเคราะห์ว่า...ทำไมตลาดหุ้น ทองคำ และ BTC ถึงมีโอกาสร่วงลงในวันนี้!!!

จากการวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐานและข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้ สามารถอธิบายได้ดังต่อไปนี้ครับ

1. กองทุน SPDR ได้ทำการเทขายทองคำจำนวน 4.63 ล้านตันในเช้าวันเสาร์ เวลา 04:48 หลังจากที่ตลาดปิดไปตอน 04:00

และการเทขายทองคำของกองทุน SPDR ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการเทขายทองคำครั้งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในรอบ 15 วันทำการ!!!

ถามว่า...ทำไมกองทุนที่ถือครองทองคำมากเป็นอันดับที่ 1 ของโลกถึงได้ทำการเทขายทองคำครั้งใหญ่หลังจากที่ตลาดได้ปิดทำการไปแล้ว

เป็นเพราะทางกองทุน SPDR ได้ทราบข่าวนี้มาครับ

นายจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยว่า เขายังไม่ทราบข่าวที่สื่อรายงานว่า ทางการจีนเตรียมยกเลิกมาตรการระงับเที่ยวบินที่นำพาผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้าประเทศ

ทั้งนี้ นายจ้าวยืนยันว่า จีนยังคงยึดมั่นและมีความชัดเจนต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid)

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า คณะรัฐมนตรีจีนได้กำชับให้หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานกำกับดูแลการบินพลเรือน เตรียมพร้อมยุติการบังคับใช้มาตรการสกัดโควิด-19

ก่อนหน้านี้ สายการบินต่าง ๆ ต้องเผชิญกับคำสั่งห้ามเข้าประเทศ หากตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 บนเที่ยวบินที่เดินทางเข้าประเทศจีน โดยฮ่องกงเองก็มีกลไกที่คล้ายคลึงกันนี้ แต่ถูกระงับไปเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของจีนเปิดเผยว่า จีนจะยังคงยึดมั่นอย่างแน่วแน่ต่อการควบคุมโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ขณะที่จีนเผชิญกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งทำลายความหวังที่ว่า จีนจะผ่อนคลายนโยบายที่เข้มงวดที่สุดซึ่งทำให้เมืองและโรงงานต่าง ๆ เผชิญกับการล็อกดาวน์อย่างยืดเยื้อ

นายหู เซียง เจ้าหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและควบคุมโรคของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (NHC) เปิดเผยในวันนี้ (5 พ.ย.) ว่า "การปฏิบัติก่อนหน้านี้ได้พิสูจน์แล้วว่า แผนการป้องกันและควบคุมของเรา รวมถึงมาตรการเชิงกลยุทธ์ต่าง ๆ นั้นถูกต้องโดยสมบูรณ์ อีกทั้งนโยบายต่าง ๆ ยังคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด"

ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า จีนจะยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Covid Zero Policy) โดยโพสต์ทางออนไลน์ที่ไม่ได้รับการยืนยันเกี่ยวกับแนวโน้มที่จีนจะเปิดประเทศนั้นได้หนุนตลาดหุ้นต่าง ๆ ทะยานขึ้นมากที่สุดในสัปดาห์นี้ในรอบหลายปี ขณะที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนเตรียมยกเลิกระบบ "เซอร์กิต เบรกเกอร์" (Circuit Breaker) ที่จะระงับเที่ยวบินระหว่างประเทศซึ่งมีการตรวจพบผู้โดยสารติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากที่สุดเข้าสู่จีน

นอกจากนี้ การประกาศของนายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีที่ว่า จีนจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในจีนสามารถเข้าถึงและฉีดวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไบออนเทคได้นั้น ได้กระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า จีนกำลังเตรียมที่จะเปิดประเทศ

เจ้าหน้าที่ NHC ระบุว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วประเทศทำให้จีนยังคงต้องยึดมั่นต่อนโยบายในปัจจุบันเป็นสำคัญ โดยจีนรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่มากกว่า 3,500 รายในวันศุกร์ (4 พ.ย.) โดยการแพร่ระบาดได้ปะทุขึ้นในกวางตุ้ง, มองโกเลียใน, ฟูเจียน และปักกิ่ง

ดังนั้น ข่าวที่ว่าจีนจะทำการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ภายในประเทศ เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้นครับ!!!

2. ตลาดหุ้นจีนอาจร่วงลงอย่างหนักในช่วงของการเปิดตลาดในช่วงเช้าวันนี้ ในช่วงเวลา 08:00-09:00 จากข่าวดังกล่าว

ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มที่จะทำสถิติรายสัปดาห์ดีที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากนักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า จีนมีแผนที่จะยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid Policy) อย่างค่อยเป็นค่อยเป็น และจะเปิดประเทศในที่สุด

ดัชนีหุ้นบริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งขึ้น 6.4% แล้วในสัปดาห์นี้ ขณะที่ดัชนี CSI 300 ตลาดหุ้นจีนทะยานขึ้นกว่า 4% และมีแนวโน้มที่จะทำสถิติรายสัปดาห์ดีที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2564 หลังจากนายหาว ฮง นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังได้ทวีตข้อความว่า ทางการจีนกำลังจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเรื่องการเปิดประเทศ และกำลังทบทวนข้อมูลด้านโควิด-19 ในต่างประเทศ เพื่อประเมินสถานการณ์หากมีการเปิดประเทศ และจีนมีเป้าหมายที่จะผ่อนคลายกฎระเบียบในการควบคุมโรคโควิด-19 ในเดือนมี.ค. 2566

ข่าวดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากนักลงทุน และนักลงทุนได้กลับเข้าซื้อหุ้นอีกครั้งเพราะเชื่อว่าข่าวดังกล่าวมีมูลความจริง

ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าจีนจะกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง

ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,070.80 จุด เพิ่มขึ้น 72.99 จุด หรือ +2.43%

ในขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์เป็นอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า จีนมีแผนที่จะยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid Policy) อย่างค่อยเป็นค่อยเป็น และจะเปิดประเทศในที่สุด

ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 16,161.14 จุด เพิ่มขึ้น 821.65 จุด หรือ +5.36%

ในขณะที่ ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นฮ่องกง (Hang Seng Tech) ได้พุ่งขึ้นถึง 7.71%

จะเห็นได้เลยครับว่า...ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงได้พุ่งขึ้นเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากความเชื่อที่ว่า...ข่าวลือเรื่องการเปิดประเทศเป็นความจริงๆ

ดังนั้นในวันนี้ต้องระวังแรงเทขายหุ้นครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นจีนเลยครับ หรือที่เรียกกันว่า Panic Sell และการการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นจีน จะส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปฟิวเจอร์สและตลาดหุ้นสหรัฐฟิวเจอร์สจะมีการร่วงลงตามไปด้วย

และการร่วงลงของตลาดหุ้นสหรัฐฟิวเจอร์ส รวมไปถึงการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกที่ร่วงลงตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของฮ่องกง จะเป็นปัจจัยกดดันให้ BTC ETH มีการร่วงลงตามไปด้วย

และการร่วงลงของตลาดหุ้นจีน จะทำให้สกุลเงินหยวน CNY มีการอ่อนค่าเป็นอย่างมาก และจะเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำให้มีการร่วงลงได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากจีนคือประเทศผู้นำเข้าทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก

และการร่วงลงของตลาดหุ้นจีน รวมไปถึงการร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลก จะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันให้มีการย่อตัวลงได้เช่นกัน เนื่องจากจีนคือประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก เป็นประเทศผู้ใช้น้ำมันมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก

3. ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่ออกมาในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่ได้แย่อย่างที่คิดนะครับ ลองสังเกตได้จากการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐ การเคลื่อนไหวของ Bond Yield สหรัฐอายุ 10 ปี การเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY การเคลื่อนไหวของสกุลเงินหยวน CNY และการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีคำอธิบายได้ดังต่อไปนี้ครับ

เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาในเวลา 19:30 ได้มีการประกาศตัวเลขที่สำคัญมากๆนะครับ นั่นคือจะมีการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐ หรือ Non-Farm Payrolls ออกมา พร้อมๆกับอัตราการว่างงาน และตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวเลขตลาดแรงงานที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นตัวเลขที่เฟดให้ความสนใจเป็นพิเศษ และบ่งชี้ถึงทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

การประกาศตัวเลขในครั้งนี้จะค่อนข้างมีความซับซ้อนเป็นพิเศษนะครับ โดยเราจะจับตาแค่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่เราต้องจับตาตัวเลขอัตราการว่างงานและรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงกันด้วยนะครับ เนื่องจากเป็นตัวเลขที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นเราจะต้องจับตาตัวเลขกันทั้งหมด 4 ตัวดังนี้ครับ

1. รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเมื่อเทียบเดือนต่อเดือน

2. รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเมื่อเทียบปีต่อปี

3. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร

4. อัตราการว่างงาน

เนื่องจากเราต้องพิจารณาตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเข้ามาร่วมด้วยนั่นเอง เลยทำให้การวิเคราะห์การประกาศตัวเลขในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมานั้นจะมีความซับซ้อนมากครับ เนื่องจากตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงหรือที่เรียกกันว่าตัวเลขค่าจ้างนั้นสามารถบ่งชี้ถึงอัตราเงินเฟ้อในอนาคตได้อย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลขที่เฟดจะให้ความสนใจมากเช่นกัน

และผลปรากฏว่า...ตัวเลขทั้งหมดออกมาดังนี้ครับ

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 261,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ตำแหน่ง แต่น้อยกว่าตัวเลขในครั้งก่อนที่ตัวเลขการจ้างงานอยู่ที่ 315,000 ตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.7% สูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.6% และเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจจากระดับ 3.5% ในเดือนก.ย.

กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 315,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นจากเดิมจากที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 263,000 ตำแหน่ง และปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 292,000 ตำแหน่ง ลดลงจากเดิมจากที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 315,000 ตำแหน่ง

กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 233,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 28,000 ตำแหน่ง

ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานดีดตัวขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 0.3% และมากกว่าตัวเลขในครั้งก่อนที่ 0.3%

และตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งออกมาสอดคล้องกับคาดการณ์ที่ 4.7% และน้อยกว่าครั้งก่อนที่ 5.0%

ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ

ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด อยู่ที่ระดับ 62.2%

สรุปตัวเลขทั้ง 4 ตัวที่เราจับตากันนะครับ ตัวเลขทั้งหมดออกมาในทิศทางที่ขัดแย้งกันครับ

1. รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเมื่อเทียบเดือนต่อเดือน

ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ และสูงกว่าครั้งก่อน

2. รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเมื่อเทียบปีต่อปี

ออกมาตามคาดการณ์ แต่ลดลงจากครั้งก่อน

3. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร

ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ แต่ลดลงจากครั้งก่อน

4. อัตราการว่างงาน

ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ และสูงกว่าครั้งก่อนอย่างน่าตกใจ!!!

ถ้าเรายึดตัวเลขที่ตลาดคาดการณ์เป็นเกณฑ์ เราจะเห็นได้ว่า ตัวเลขออกมาดีกว่าคาดการณ์ 2 ตัว ตามคาด 1 ตัว และแย่กว่าคาดการณ์อย่างมาก 1 ตัว

และตัวเลขที่ออกมาแย่กว่าคาดการณ์เป็นอย่างมาก ดันเป็นตัวเลขสำคัญอย่างอัตราการว่างงาน!!!

และถ้าเรายึดตัวเลขในครั้งก่อนเป็นเกณฑ์ เราจะเห็นได้ว่า ตัวเลขออกมาดีกว่าครั้งก่อนแค่ 1 ตัวเท่านั้น ส่วนอีก 3 ตัวที่เหลือออกมาแย่กว่าครั้งก่อนทั้งหมด

ถ้านักลงทุนมองว่าตัวเลขการจ้างงานในครั้งนี้ออกมาแย่จริงๆ Bond Yield สหรัฐอายุ 10 ปีจะต้องร่วงลงเรื่อยๆครับ จะไม่มีการฟื้นกลับขึ้นมาแบบนี้

เราสังเกตได้จากกราฟของ US10Y ได้เลยครับ ที่มีการย่อลงตัวลงไปก่อนจากอัตราการว่างงานที่ออกมาสูงขึ้น แต่สุดท้ายก็มีการฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้จากการที่ตัวเลขการจ้างงานยังคงถือว่ามีความแข็งแกร่งอยู่ และตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงยังคงบ่งชี้ให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงสูงอยู่

และตลาดกำลังตีความว่า...ตลาดแรงงานนั้นยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ และเงินเฟ้ออาจจะยังไม่ลดลงง่ายๆในอนาคต ซึ่งจะหมายความได้ว่า...โอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยสูงถึง 0.75% ในการประชุมในเดือนหน้ายังคงมีความเป็นไปได้อยู่นะครับ!!!

ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรออกมาสูงกว่าคาดการณ์ที่ 200k เป็นอย่างมาก เนื่องจากตัวเลขออกมาที่ 261k รวมทั้งตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเมื่อเทียบเดือนต่อเดือนนั้นออกมาที่ 0.4% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์และครั้งก่อนที่ 0.3% อีกด้วย ตลาดจะตีความว่า...ตัวเลขตลาดแรงงานออกมาแข็งแกร่ง และเศรษฐกิจสหรัฐยังคงดีอยู่ ทำให้บริษัทต่างๆมีกำไรจากการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น ทำให้มีกำลังในการจ้างงานเพิ่มขึ้น รวมถึงมีกำลังในการขึ้นค่าจ้างให้กับพนักงานมากขึ้นในภาวะที่ค่าครองชีพสูงจากภาวะเงินเฟ้อสูงในขณะนี้ และการที่พนักงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น ดังนั้นต่อให้ราคาสินค้าจะยังคงแพงขึ้น แต่พนักงานเหล่านี้ก็ยังมีกำลังซื้อที่จะซื้อสินค้าในราคาแพงได้อยู่ และตราบใดที่สินค้าในราคาแพงยังคงขายได้เนื่องจากผู้บริโภคยังคงมีกำลังซื้อสินค้าในราคาแพงจากค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ราคาสินค้าก็จะยังคงสูงอยู่ต่อไป และมีแนวโน้มที่จะลดลงได้ยาก ดังนั้นจึงเป็นข้อบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงไม่ลดลงง่ายๆเช่นกัน และเงินเฟ้อยังมีโอกาสสูงขึ้นอีกด้วย ตลาดอาจมองว่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นในอนาคตเพื่อจัดการปัญหาเงินเฟ้อ โดยที่ไม่ต้องกังวลกับตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งอยู่ในขนาดนี้ ถึงแม้อัตราการว่างงานจะออกมาสูงขึ้นจากการที่บริษัทต่างๆเริ่มลดขนาดตัวเองลงจากความเสี่ยงในด้านภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ได้มีการปลดพนักงานมากขึ้น และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตัวเลขอัตราการว่างงานนั้นออกมาสูงขึ้นนั่นเอง

และถ้านักลงทุนมองว่าตัวเลขการจ้างงานในครั้งนี้ออกมาแย่จริงๆ ตลาดหุ้นสหรัฐจะต้องมีการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆครับ จะไม่มีการร่วงลงกลับมาที่เดิมแบบนี้

และตลาดหุ้นได้ร่วงลงจากการฟื้นตัวขึ้นของ Bond Yield สหรัฐอายุ 10 ปีครับ

การปรับตัวขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน จึงได้ส่งผลให้ราคาหุ้นรายตัวของแต่ละบริษัทมีการปรับตัวลง และฉุดตลาดหุ้นสหรัฐให้มีการปรับตัวลงเช่นกัน

ก่อนที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะกลับมาปิดบวกในภายหลังตามการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สอย่างต่อเนื่องจากความคาดหวังที่ว่าจีนจะทำการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ภายในประเทศอีกครั้ง

ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY มีการร่วงลงแบบผิดปกติ เนื่องจากทางด้านของ Bond Yield สหรัฐอายุ 10 ปีได้มีการฟื้นตัวขึ้นกลับมาที่เดิมแล้ว แต่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY ไม่ยอมฟื้นตัวขึ้นตามในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงช่วงปิดตลาด ในขณะที่สกุลเงินหยวน CNY ยังคงมีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องตามการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สอย่างต่อเนื่องเช่นกันในช่วงก่อนปิดตลาด ทั้งๆที่รับข่าวที่จีนจะเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ไปเรียบร้อยแล้ว!!!

เป็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สและสกุลเงินหยวนที่แข็งค่ามากผิดปกติ

และสุดท้ายก็มีข่าวออกมาว่า...

นายอี้ กัง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBOC) ยืนยันคำมั่นสัญญาที่จะทำให้อัตราการแลกเปลี่ยนเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงนโยบายการเงิน

แถลงการณ์ของ PBOC ระบุว่า นายอี้เปิดเผยในระหว่างการประชุมที่จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี (3 พ.ย.) เพื่อศึกษาการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) โดยระบุว่า ธนาคารกลางจีนจะยังคงรักษาเสถียรภาพของเงินหยวนให้อยู่ระดับที่เหมาะสม

นอกจากนี้ นายอี้ยังให้คำมั่นว่าจะปกป้องเสถียรภาพของค่าเงินและช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต โดย PBOC จะทำงานเพื่อสร้างระบบธนาคารกลางที่ทันสมัย ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่กำหนดขึ้นจากที่ประชุม CPC

นายอี้ยังยืนยันที่จะสนับสนุนกฎระเบียบด้านการเงิน และสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเพื่อปกป้องเสถียรภาพทางการเงิน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ PBOC ได้ดำเนินการอย่างระมัดระวังด้วยการผ่อนคลายทางการเงินในปีนี้ ขณะที่ต้องพึ่งพาคำสั่งและเครื่องมือใหม่ ๆ มากขึ้นเพื่อกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร และกระตุ้นภาคธุรกิจต่าง ๆ เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจขนาดเล็ก

แนวทางที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางจีน ซึ่งตรงกันข้ามกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ค่าเงินหยวนร่วงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2550

ทำให้เป็นข้อสันนิษฐานได้ว่า ทางธนาคารกลางจีนอาจได้ทำการแทรกแซงตลาดค่าเงินอีกครั้ง โดยการเทขายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และเข้าช้อนซื้อสกุลเงินหยวนให้มีการกลับมาแข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมากในวันนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่หนุนให้ Fund Flow ได้ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงในวันนี้เป็นจำนวนมาก!!!

และยังมีข่าวนี้ออกมาด้วยเช่นกัน

ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ได้เข้าซื้อดอลลาร์ฮ่องกงเป็นมูลค่า 3.054 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (389.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากตลาดซื้อขายที่นิวยอร์กเพื่อยับยั้งการอ่อนค่าของดอลลาร์ฮ่องกงลงต่ำกว่าระดับที่ผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐ

โฆษกของ HKMA เปิดเผยในวันนี้ (5 พ.ย.) ว่า การเข้าซื้อดอลลาร์ฮ่องกงดังกล่าวจะทำให้งบดุลบัญชีรวม (aggregate balance) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สถานะเงินสดในระบบธนาคาร ลดลงต่ำกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง และจะลดลงสู่ 9.6977 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันอังคาร (8 พ.ย.)

ดอลลาร์ฮ่องกงถูกผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงแคบ ๆ ระหว่าง 7.75-7.85 ดอลลาร์ฮ่องกงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่นักวิเคราะห์และฝ่ายต่าง ๆ ในตลาดจับตางบดุลบัญชีที่ลดลงเข้าใกล้ระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกงซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มตลาดการเงินที่ตึงตัวนั้น ก็ดูเหมือนว่าการที่ HKMA เข้าซื้อดอลลาร์ฮ่องกงครั้งล่าสุดนั้นได้ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในทันที

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า HKMA ได้เข้าซื้อดอลลาร์ฮ่องกงเป็นมูลค่าราว 3.07 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากตลาดผ่านทางการแทรกแซง 40 รอบแล้วนับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยการแทรกแซงดังกล่าวทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของฮ่องกงปรับตัวขึ้นตามสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

ชัดเจนครับว่า...การที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY มีการร่วงลงมากผิดปกติทั้งๆที่ตัวเลขการจ้างงานก็ไม่ได้ออกมาแย่มากนัก เป็นเพราะการเข้าแทรกแซงตลาดสกุลเงินต่างประเทศของทางธนาคารกลางจีนและธนาคารกลางฮ่องกงนั่นเอง!!!

ให้จับตาดูในช่วงของการเปิดตลาดเอเชียในช่วงเช้านี้ครับ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 08:00-09:00 ที่จะเป็นช่วงของการเปิดตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งราคาทองคำอาจจะเริ่มปรับตัวลงในช่วงนั้นเช่นเดียวกับ BTC และ ETH

ถ้า BTC และ ETH ยังไม่ปรับตัวลงในช่วงเวลานั้น ก็ให้ไปจับตาดูในช่วงเวลา 13:00-14:00 กันอีกรอบครับ เพราะ BTC ETH มีโอกาสเริ่มปรับตัวลงในช่วงเวลานั้นด้วยเช่นเดียวกัน จากการเปิดตลาดในทางฝั่งยุโรป

ในกรณีที่ราคาทองคำมีการปรับตัวลงในวันนี้ จพมีแนวรับอยู่ที่ระดับ 1,657$ 1,650$ และ 1,645$ ตามลำดับครับ!!!

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย