Investment Ideas:
ภาพรวมการลงทุน: เราคาดว่า SET Index วันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,630 จุด เราคาดว่า SET มี โอกาสฟื้นตัวระยะสั้น หลัง SET สัปดาห์นี้ปรับลดลงกว่า 19.8 จุด (-1.22%) สะท้อนความกังวลต่อการ ดําเนินนโยบายการเงินของเฟดที่เข้มงวด รวมไปถึงแรงขายก่อนการประชุม กนง. ของไทย ที่จะมีการปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย เรามองว่าหาก กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25pbs ตามคาด SET จะกลับมาฟื้นตัวระยะสั้น ราคาน้ํามันดิบที่ปรับขึ้น หนุนแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์เริ่มมีการแข็งค่าที่ชะลอตัวลง เป็นปัจจัยหนุน อย่างไรก็ตามหาก กนง. มีมติปรับขึ้นที่ระดับ 0.50% จะยิ่งเป็นปัจจัยกดดัน SET แต่ในทาง กลับกันจะส่งดีต่อค่าเงินที่จะชลอการอ่อนค่าลงในระยะสั้น เราประเมินว่าการปรับขึ้นของ SET จะเป็นเพียง ระยะสั้น จากความเสี่ยงด้าน Recession ในช่วงต้นปี 2556 ที่เริ่มมีน้ําหนักความเป็นไปได้เพิ่มขึ้น กลยุทธ์การลงทุน หุ้นในพอร์ต 40% เลือก BLA BAFS BEM BDMS AWC CENTEL PTG SUSCO เป็นหุ้น เด่น เราปรับลดน้ําหนักหุ้นในพอร์ตเหลือ 40% จากความเสี่ยงจากการดําเนินนโยบายการเงินที่เข้างวดมาก ขึ้นของเฟด ทําให้หุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย น่าสนใจ เราเลือก BBL KBANK (BK:KBANK) SCB THREL TLI BLA รวมไปถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่า เราเลือก ASIAN SAPPE ขณะที่หุ้น ในกลุ่มเดิมที่ยังน่าสนใจต่อเนื่องมาจากเดือน ก.ย. เราเลือกหุ้นในกลุ่ม Defensive เราเลือก BDMS BH INTUCH หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า เราเลือก EA GULF BGRIM GPSC EGCO หุ้นในกลุ่มขนส่งในประเทศ เรา เลือก BEM และ หุ้นเปิดเมือง เราเลือก AOT (BK:AOT) BAFS ERW AWC CENTEL PTG SUSCO
ปัจจัยหนุนราคาน้ํามันดิบ มองพลังงานน้ํามันยังน่าสนใจ เลือก PTTEP BANPU - สัญญาน้ํามันดิบ WTI ส่งมอบ เดือน พ.ย. ปิดที่ 78.50 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.79 เหรียญ (+236) ปัจจัยบวกหนุนราคาน้ํามันดิบระยะสั้น มาจากความกังวลต่อพายุเฮอร์ริเคนเอียน จะกระทบกําลังผลิตในอ่าวเม็กซิโก โดยล่าสุด บริษัท BP และ Chevron สองบริษัทพลังงานรายใหญ่ของโลก ประกาศปิดแท่นขุดเจาะน้ํามันนอกชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก เพื่อหลีกเลี่ยง ผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนเอียนที่กําลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้อ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ํามันนอกชายฝั่งของ สหรัฐฯ โดยการการอพยพบุคลากรออกจากแท่นนาคิกา (Na Kika) และจากแท่นธันเดอร์ ฮอร์ส (Thunder Horse) ของ BP มีกําลังการผลิตน้ํามันรวม 380,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่เชฟรอนอพยพบุคลากรออกจากแท่นปี โตรเนียส (Petronius) และแท่นบลายด์ เฟธ (Blind Faith) และสั่งปิดการผลิตที่แท่นขุดเจาะทั้งสองแห่งนี้แล้ว โดยปิโตรเนียสและบลายด์ เฟธ สามารถผลิตน้ํามันได้รวมกันในปริมาณ 105,000 บาร์เรลต่อวัน และผลิตก๊าซได้ ในปริมาณ 90 ล้านลูกบากศ์ฟุตต่อวัน ขณะที่ข้อมูลจากสํานักงานนิรภัยและการบังคับใช้สิ่งแวดล้อมของรัฐบาล กลางสหรัฐ (Bureau of Safety and Environmental Enforcement - BSEE) ล่าสุด (27 ก.ย.) การผลิตน้ํามัน ประมาณ 11% และการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 8.5696 ในอ่าวเม็กซิโก ได้ปิดทําการเพื่อเตรียมรับมือกับ ผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนเอียน 2 ประเด็นที่น่าติดตามอยู่ที่ (1) การประชุมกําหนดนโยบายการผลิตน้ํามันของ กลุ่ม OPEC (5 ต.ค.) คาดจะมีมติลดกําลังผลิตเพื่อหนุนราคาน้ํามัน และ (2) รายงานปริมาณสํารองน้ํามันดิบ สหรัฐฯ วันนี้ (28 ก.ย.) โดยสํานักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) คาดปริมาณสํารอง น้ํามันดิบของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย 400,000 บาร์เรล ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ย.) เรามอง เป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเรายังให้น้ําหนักพลังงานต้นน้ํา เลือก PTTEP BANPU เป็นหุ้นเด่น ขณะที่หุ้น ในกลุ่มโรงกลั่น จะได้ Sentiment เชิงบวกจากประเด็นดังกล่าว เราเลือก SPRC BCP TOP เป็นหุ้นเด่น แต่ต้อง ระวังการรายงานผลประกอบการ 3Q65 ที่คาดว่าจะอ่อนแอ จากค่าการกลั่นที่ลดลง Stock Loss ที่เพิ่มขึ้น และมี ผลการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า สัปดาห์นี้ติดตาม รายงาน GDP ของ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ รายงาน PMI และจีน และการประชุม กนง. (23 ก.ย.) และ ตัวเลข PCE สหรัฐฯ - 28 ก.ย. : ไทย – การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) (คาดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25bps เป็น 1.0%) / เยอรมนี - ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีจากสถาบัน GfK เดือน ต.ค. / สหรัฐฯ - ดุลการค้า เดือน ส.ค. รายงานปริมาณสํารองน้ํามันดิบ
ปัจจัยทางเทคนิค - หุ้นแนะนําทางเทคนิค ได้แก่ @ CENTEL (แนวต้าน 51.00-52.00 / แนวรับ 48.50-48.0 / Stop loss 45.75) G AOT (แนวต้าน 76.75-78.25/ แนวรับ 73.0-72.75/Stop loss 69.25) EPG (แนว ต้าน 10.9-11.1/ แนวรับ 10.3-10.2/Stop loss 9.8) SET มีปัจจัยลบจาก ค่าเงินบาทอ่อน และแรงขายหุ้นในกลุ่มธนาคาร และกลุ่มประกัน กดดัน SET วานนี้ - SET วานนี้ (27 ก.ย.) ปิดที่ระดับ 1,610.58 จุด ลดลง 10.67 จุด (-0.66%) มูลค่าการซื้อขาย 75,039.57 ล้านบาท (สูงสุด 1,627.30 จุด และต่ําสุด 1,610.32 จุด) SET ยังคงมีปัจจัยกดดัน 2 ส่วน
(1) ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ทําให้นัก ลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมามีสถานการณ์ขายสุทธิที่ชัดเจน โดยในเดือน ก.ย. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 2 หมื่น ล้านบาท กระทบราคาหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะใน SET50 และ
(2) แรงขายหุ้นในกลุ่มธนาคาร และกลุ่มประกัน ก่อนการประชุม กนง. วันนี้ (28 ก.ย.) จากความกังวลต่อการส่งผ่านนโยบายการเงิน ไปสู่ธนาคารพาณิชย์ จาก ความกังวลต่อการดําเนินนโยบายการเงินของ ธปท. จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจรวม ทําให้หุ้นในกลุ่ม ธนาคาร และกลุ่มประกัน ไม่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ย
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities