ท่ามกลางวิกฤตโรงงานก๊าซธรรมชาติเหลว Freeport ระเบิดนั้น บริษัท Cheniere ได้บรรลุการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในการเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว 10 ล้านตันต่อปีในปัจจุบันของโรงงาน Corpus Christi LNG มากขึ้น 
ตามที่ระบุในสัญญา การเพิ่มพื้นที่จัดเก็บจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งจะทำให้ LNG ในประเทศสหรัฐฯ เติบโตขึ้นในแง่ของความสามารถในการส่งออกที่เกิน 22 พันล้านลูกบาศก์ฟุต (bcf) ต่อวันภายในสิ้นปี 2026 จากปัจจุบันที่ 13 bcf/d
Plaquemines เป็นโครงการ LNG แห่งแรกของสหรัฐฯ ที่บรรลุความสิ้นสุดทางการเงินนับตั้งแต่ Calcasieu Pass ของ Venture Global ในเดือนสิงหาคม 2019 Calcasieu พึ่งจะได้ส่งมอบ LNG ตัวแรกเมื่อต้นปีนี้ Venture Global กล่าวว่ามีข้อตกลง 20 ปีในการขาย LNG ที่ครอบคลุมประมาณ 80% ของโครงการ Plaquemines 20 MTPA ทั้งหมด FID จากโรงงานใเหล่านี้สามารถผลักดันความสามารถในการส่งออก LNG เกิน 26 bcf / d ภายในสิ้นปี 2026
ที่ปรึกษาด้านตลาดก๊าซธรรมชาติ Gelber & Associates วิเคราะห์เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า
“สถานการณ์ที่ซัพพลายก๊าซธรรมชาติมีจำกัดนั้นทำให้โครงการใดๆ ก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับ LNG ได้ประโยชน์ เพราะกลายเป็นว่าอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติได้ถูกผลักดันจากความจำเป็นในการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เพื่อรองรับพลังงานที่มีมากขึ้น”
สหรัฐฯ จำเป็นที่จะต้องเล่นบทบาทใหม่ในฐานะผู้ส่งก๊าซธรรมชาติหลักให้กับยุโรป เมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะเอาใจออกห่างรัสเซีย อันที่จริงสหรัฐฯ เป็นซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติมาช้านาน แต่ก็พึ่งจะมามีบทบาทในช่วงปลายปีเมื่อยุโรปและเอเชียจำเป็นต้องเติมเต็มความต้องการก๊าซธรรมชาติ ที่หายไปเพราะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาสามารถเป็นพี่ใหญ่และโดดเด่นในตลาด LNG ทั่วโลกได้
ถึงกระนั้น ในมุมมองของ Gelber พวกเขายังเห็นว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูกันต่อไป ประการแรก ต้องมาดูว่าเมื่อต้องรับบทตัวละครหลักแล้ว สหรัฐฯ จะสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้เพียงพอต่อความต้องการของคนอีกทวีปหนึ่งได้หรือไม่ และสองคือประเทศจะได้กำไรมากขึ้นภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจปกติหรือเปล่า สมมุติฐานทั้งสองนี้ไม่รวมถึง ความคาดหวังที่มีต่อความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าพรีเมียมของตลาดก๊าซธรรมชาติล่วงหน้า ณ ท่าเรือเฮนรี่ในนิวยอร์กได้ปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก หลังจากที่เกิดการระเบิดของคลังเก็บก๊าซธรรมชาติ ณ Freeport ซึ่งทำให้ต้องหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจำนวน 2.1 bcf/d เข้าระบบ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ปริมาณก๊าซธรรมชาติคงคลังก็อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบห้าปีมาเป็นเวลานานหลายเดือน
ก่อนที่วิกฤตครั้งนี้จะเกิด ราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติล่วงหน้า ณ ท่าเรือเฮนรี่ยังวิ่งอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดในรอบ 14 ปี ก่อนหน้าที่จะเกิดการระเบิดเพียงแค่วันเดียว สัญญาซื้อขายที่จะส่งมอบในเดือนกรกฎาคมขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดในวันที่ 8 มิถุนายนที่ $9.56 หลังจากนั้นก็ปรับตัวลดลงมาวิ่งอยู่ต่ำกว่า $7
Sunil Kumar Dixit หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านเทคนิคของ skcharting.com ให้ความเห็นต่อสถานการณ์ของตลาดก๊าซธรรมขาติว่า
“แนวโน้มระยะสั้นของกราฟก๊าซธรรมชาติที่จะส่งมอบในเดือนหน้านั้นวิ่งอยู่ในกรอบราคาระหว่าง $6.97 - $6.55 หากสามารถขึ้นยืนเหนือ $6.97 มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $7.24 ขยับเข้าใกล้เส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วันหรือที่ระดับแนวต้าน $7.67 แต่ถ้าปรับตัวลดลงต่ำกว่า $6.55 มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลดลงต่อไปยัง $6.07 หรือไปที่เส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 สัปดาห์ที่ $5.57”
ผลสำรวจจาก naturalgasintel.com ที่ถามความเห็นของนักวิเคราะห์บางคนพบว่าการส่งก๊าซไปยังโรงงาน LNG ของสหรัฐฯ ลดลงเหลือประมาณ 10.5 bcf/d ในขณะเดียวกัน LNG Export Tracker แสดงการฟื้นตัวของปริมาณก๊าซที่อัดฉีดเข้าคลังเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 11.2 bcf/d ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการที่อื่นกำลังเพิ่มขึ้นเติมเต็มเนื่องจากขาดก๊าซธรรมชาติที่โรงงาน Freeport
Eli Rubin นักวิเคราะห์อาวุโสของ EBW กล่าวว่า
"ตลาดก๊าซธรรมชาติผันผวนจากเหตุการณ์ที่ Freeport จนทำให้การผลิต LNG ต้องหยุดชะงัก หากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปทานเพิ่มขึ้น อาจสร้างแรงกดดันในการเทขาย และทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลง ก่อนสัญญาส่งมอบก๊าซธรรมชาติเดือนกรกฎาคมหน้า ณ ท่าเรือเฮนรี่หมดอายุ”
Source: Gelber & Associates
สำหรับการรายงานปริมาณก๊าซธรรมชาติคงคลังจากสำนักบริหารสารสนเทศพลังงานของสหรัฐอเมริกา (EIA) ที่รายงานเป็นประจำทุกสัปดาห์นั้น นักวิเคราะห์ของ Investing.com เชื่อว่าตัวเลขของสัปดาห์ที่แล้วจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 65 bcf เนื่องจากอากาศที่ร้อนขึ้น จะทำให้มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น ส่วนข้อมูลจาก Refinitiv เชื่อเช่นกันว่าจะมีการก๊าซธรรมชาติเข้าสู่คลังเป็นจำนวน 65 bcf
หากเป็นเช่นนั้น จะถือว่ามากกว่าตัวเลขในสัปดาห์เดียวกัน ของช่วงเวลาเมื่อปีก่อนที่ 49 bcf แต่ยังน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในรอบห้าปี (2017 - 2021) ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 82 bcf เมื่อไปดูตัวเลขรวมของการเก็บก๊าซธรรมชาติเข้าคลังทั่วประเทศ พบว่าในสัปดาห์ที่นับถึงวันที่ 17 มิถุนายน ปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองคงคลังมีอยู่ทั้งหมด 2.160 tcf ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปีประมาณ 13.6% และต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว 12.7%
อนึ่ง ตัวเลขปริมาณก๊าซธรรมชาติคงคลังที่ประกาศออกมาเมื่อคืนนั้นมีตัวเลขอยู่ที่ 74 bcf