ตลอดทั้งปี 2022 หุ้นเทคโนโลยีทั้งมีและไม่มีชื่อเสียงต่างพากันถูกเทขายอย่างหนัก จากแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อเทียบกันระหว่างดัชนีหลักทั้งสามระหว่างเอสแอนด์พี 500 ดาวโจนส์และแนสแด็ก ปรากฎว่าหุ้นในสังกัดของแนสแด็กถูกเทขายมากที่สุดถึง 22.8% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวที่แสดงให้เห็นว่าจุดสูงสุดของเงินเฟ้ออาจได้ผ่านพ้นไปแล้ว นั่นจึงทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงต้นสัปดาห์ฟื้นตัวกลับขึ้นมา รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคฯ ด้วย แม้ว่าภาพรวมจะยังคงผันผวนอยู่ก็ตาม นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เราเขียนบทความถึงหุ้นเทคฯ สามตัวในอดีต ที่เคยเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนหุ้นเทคฯ หุ้นทั้งสามตัวนั้นจะมีอะไรบ้าง บทความนี้จะพาไปดู
1. Datadog
- การวิ่งของราคาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -46.4%
- จากจุดสูงสุดตลอดกาลถึงราคาปัจจุบัน: -52.2%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $30,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
แพลตฟอร์มการตรวจสอบความปลอดภัยและการวิเคราะห์สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Datadog (NASDAQ:DDOG) คือหุ้นตัวแรกที่เราอยากให้พิจารณา แม้ว่าในปี 2022 ราคาหุ้น DDOG จะปรับตัวลดลงมาแล้ว 46.4% แต่ในอดีตเมื่อสองปีก่อน DDOG เคยปรับตัวขึ้น 160% ในปี 2020 และ 80% ในปี 2021 หุ้น DDOG มีราคาปิดเมื่อวันอังคารอยู่ที่ $95.39 ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ที่ $199.68 ประมาณ 52%
ตามความเห็นของเรา หุ้น DDOG อยู่ในจุดที่พร้อมปรับตัวกลับขึ้นไปได้ในอีกไม่นานนี้ เพราะกระแส work-from-home และการคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลแล้วมีแต่จะทำให้ภาคธุรกิจหันเข้ามาโลกดิจิทัลมากขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักวิเคราะห์จาก Investing.com 16 จาก 23 คนแนะนำหุ้นตัวนี้ให้อยู่ในกลุ่ม “น่าซื้อ” และมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปยัง $163.60 หรือคิดเป็น 71% จากระดับราคาปัจจุบัน 
อ้างอิง: Investing.com
รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ของบริษัท Datadog สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์วอลล์สตรีทได้ ในรายงานผลประกอบการครั้งนั้น บริษัทเชื่อว่าภาพรวมการดำเนินงานในอนาคตมีแต่จะเติบโตขึ้น พวกเขาแสดงความมั่นใจด้วยการปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์รายได้และกำไรตลอดทั้งปีนี้ Oliver Pomel ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของ Datadog อธิบายถึงสาเหตุการเติบโตว่า
“เรายังคงเห็นลูกค้าทุกกลุ่มและทุกอุตสาหกรรมที่ต้องการความก้าวหน้า และการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่เส้นทางดิจิทัล และการย้ายรูปแบบการจัดการข้อมูลเข้าสู่ระบบคลาวด์”
Datadog ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันพวกเขามีลูกค้า 2,250 รายที่ยินดีจ่ายค่าบริการรายปีรวมแล้วเป็นเงินมากถึง $100,000 หรือมากกว่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 60% แบบปีต่อปี จากข้อมูลนี้ Datadog ยังประกาศอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรมาทำให้การเติบโตทางธุรกิจของพวกเขาชะลอตัว
ในปี 2022 กรอบอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ได้เพิ่มขึ้นจาก $0.45 - $0.51 ในปีที่แล้วเป็น $0.70 - $0.77 และคาดว่ากรอบการทำกำไรจะเพิ่มขึ้นจาก $1,510 - $1,530 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นเป็น $1,600 - $1,620 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้
2. Cloudflare
- การวิ่งของราคาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -57.4%
- จากจุดสูงสุดตลอดกาลถึงราคาปัจจุบัน: -74.7%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $18,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทผู้ให้บริการด้านความปลอดภัย และวางโครงสร้างพื้นฐานให้กับเว็บไซต์นาม Cloudfare (NYSE:NET) ถือเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถึงหุ้นที่ค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) สูง แต่ต้องปรับตัวลดลงตามการเทขายในตลาดหุ้น ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้น NET ปรับตัวลดลงมาแล้ว 57% และพึ่งสร้างจุดต่ำสุดใหม่ ที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2020 ไปเมื่อไม่นานมานี้
ระดับราคา $221.64 เคยเป็นจุดสูงสุดตลอดกาลที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 แต่ระดับราคาในปัจจุบันเมื่อวันอังคารที่ $56.00 นั้นถือว่าอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลนั้นเกือบ 75%
แม้ว่าภาพรวมจะเป็นแนวโน้มขาลง แต่การดีดตัวกลับขึ้นมาของราคาหุ้นเมื่อไม่นานมานี้ถือเป็นการสร้างโอกาสในการลงทุนใหม่ ตราบใดที่ยังมีความต้องการเครื่องมือสำหรับความปลอดภัยทางไซเบอร์และระบบเครือข่าย บริษัทนี้ก็ยังมีอนาคต อ้างอิงการวิเคราะห์จาก Investing.com ระดับราคาเป้าหมายโดยเฉลี่ยของหุ้น NET นั้นอยู่ที่ $123.20 สูงกว่าระดับราคาปัจจุบัน 120.92% 
อ้างอิง: Investing.com
ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ในวันที่ 5 พฤษภาคม บริษัท Cloudfare สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น 54% YoY มียอดลูกค้าใหม่ที่ชำระค่าบริการเพิ่มขึ้น 14,000 รายแน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้บริษัทได้กำไรคือการเติบโตของความต้องการระบบรักษาความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์และเครือข่าย
ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงเชื่อว่ารายได้ตลอดทั้งปี 2022 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในกรอบ $955 - $959 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นจาก $927 - $931 ล้านเหรียญสหรัฐ Matthew Prince ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของบริษัทกล่าวว่า
“ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเรายังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีการใช้จ่ายมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี เพิ่มขึ้น 72% เมื่อเทียบเป็นรายปี”
3. Roku
- การวิ่งของราคาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -58.4%
- จากจุดสูงสุดตลอดกาลถึงราคาปัจจุบัน: -80.6%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $12,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทผู้ขายอุปกรณ์และแพลตฟอร์มเชื่อมต่อเข้าสู่บริการสตรีมมิ่งนาม Roku (NASDAQ:ROKU) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตได้อย่างโดดเด่นในช่วงโควิด แต่ความรุ่งเรืองนั้นมีอันต้องเสื่อมถอย ในวันที่สภาพแวดล้อมการลงทุนเต็มไปด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อที่เร่งตัวแรงจนส่งผลกระทบต่อการเติบโตของบริษัทเทคฯ ในวงกว้าง
หลังจากสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $490.71 ในเดือนกรกฎาคมปี 2021 ปัจจุบันหุ้น Roku ปรับตัวลดลงมาแล้ว 58% (เฉพาะในปี 2022) แต่ถ้านับจากจุดสูงสุดตลอดกาลลงมา ราคาหุ้นในวันอังคารที่ $94.90 ถือว่าต่ำกว่าจุดสูงสุดนั้นประมาณ 81%
ความน่าสนใจของหุ้น ROKU คือตอนนี้หุ้นสามารถปรับตัวกลับขึ้นมาประมาณ 27% จากจุดต่ำสุดในรอบสองปีที่ $75.03 การรีบาวด์กลับขึ้นมาจากกำไรการฝากโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าจะทำให้บริษัท Roku กลับมาทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ นักวิเคราะห์ 22 คนจาก 27 คนของ Investing.com ลงความเห็นว่ามีโอกาสที่หุ้น ROKU จะปรับตัวขึ้นได้อีก 82% จากระดับราคาปัจจุบันขึ้นเป็น $172.46 ต่อหุ้น 
อ้างอิง: Investing.com
อย่างไรก็ตาม ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 บริษัทกลับไม่สามารถเพิ่มตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นได้ แต่ยังดีที่กำไรสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปอย่างไม่มีปัญหา รายได้ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการฝากโฆษณา ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 39% YoY คิดเป็นเงิน $646.9 ล้านเหรียญสหรัฐ มีบัญชีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านคน
นาย Anthony Wood ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของบริษัทกล่าวในรายงานครั้งนั้นว่า
“เราได้ส่งมอบตัวเลขผลประกอบการที่แข็งแกร่งภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ท้าทาย เราคาดหวังว่าจะเดินหน้าฝ่าฟันอุปสรรคเช่นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ความขัดแย้งทางการเมือง และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานไปได้ในอนาคต”
Roku คาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้ในไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้น 25% YoY คิดเป็นเงิน $805 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนกำไรทั้งปี พวกเขาเชื่อว่ามีโอกาสเติบโตขึ้นอีก 35%