ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและสงครามรัสเซียยูเครนสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นวอลล์ สตรีทหรือตลาดหุ้นยุโรปก็หนีไม่พ้น ดัชนีหลักของเยอรมันอย่าง DAX index ในปี 2021 ปรับตัวลดลง 2.8% ก่อนจะมาสร้างขาขึ้น 8.2% มาตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน
ดัชนีหลักของสหราชอาณาจักรอย่าง FTSE 100 index ก็มีความผันผวนในลักษณะเดียวกัน ในช่วง 12 เดือนล่าสุด ดัชนีได้ปรับตัวขึ้นมา 11% และยังวิ่งขึ้นต่ออีก 2.1% ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน
บทความวันนี้ เราจึงอยากมาแนะนำกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) สองกองทุน ที่สมควรได้รับความสนใจจากผู้อ่าน ที่กำลังมองหาโอกาสในการเข้าสู่หุ้นยุโรป ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปัจจัยในยุโรปตะวันออก เราเชื่อว่าทั้งสองกองทุนจะสามารถมอบผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนระยะยาวได้
1. iShares MSCI United Kingdom ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $33.95
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $30.55 - $35.09
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 4.24%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.50% ต่อปี
กองทุนตัวแรกที่เราจะนำเสนอในบทความนี้มีชื่อว่า iShares MSCI United Kingdom ETF (NYSE:EWU) เป็นกองทุนที่เริ่มก่อตั้งขึ้นมาตั้งเดือนมีนาคมปี 1996 ปัจจุบันถือครองหุ้นบริษัทในสหราชอาณาจักรอยู่ทั้งหมด 82 ตัว
อ้างอิงข้อมูลจากสภาหอการค้าอังกฤษ อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาตอนนี้กำลังฉุดรั้งการบริโภคภายในประเทศลงอย่างต่อเนื่อง
“การใช้จ่ายของผู้บริโภคในปี 2022 คาดว่าจะเติบโตที่ 4.4% ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 6.9%”
ในทำนองเดียวกัน การลงทุนทางธุรกิจคาดว่าจะเติบโต 3.5% ลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 5.1% สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ภาษีท้องถิ่นที่สูงขึ้น และความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลงอันเป็นผลมาจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และสงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ถึงแม้ว่าจะมีเศรษฐกิจของอังกฤษจะไม่มีความสดใส แต่ดัชนี FTSE 100 กลับเป็นที่ที่เอื้อต่อการกระจายการลงทุนได้ดี ทำให้สามารถเข้าถึงบริษัทชื่อดังบางแห่งทั่วโลกได้
นอกจากนี้ บริษัทที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่มักจะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่มั่นคง ดังนั้น นักลงทุนจำนวนมากมองว่าราคาหุ้นที่ลดลงอาจเป็นโอกาสในการซื้อบริษัทชั้นนำ ที่อยู่ในดัชนีชื่อดังของสหราชอาณาจักร และกองทุน EWU ก็ถือครองหุ้นเหล่านั้นอยู่
EWU อ้างอิงราคาตามดัชนี MSCI United Kingdom Index หากพิจารณาแยกการถือครองหุ้นออกเป็นสัดส่วนจะพบว่ากองทุน EWU ถือครองหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมากที่สุด 18.33% ตามมาด้วยการเงิน 17.49% ดูแลสุขภาพ 13.28% พลังงาน 11.42% อุตสาหกรรม 10.85% และวัสดุก่อสร้าง 10.27%
หุ้นชื่อดัง 10 บริษัทที่กองทุนนี้ถือครองคิดเป้นสัดส่วนของพอร์ตลงทุนทั้งหมดเกือบครึ่งหนึ่งของ $3,620 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังได้แก่ Shell (NYSE:SHEL), AstraZeneca (NASDAQ:AZN), HSBC (NYSE:HSBC), Diageo (NYSE:DEO), Unilever (NYSE:UL), GlaxoSmithKline (NYSE:GSK) และ Rio Tinto (NYSE:RIO)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลกสนับสนุนให้กราฟราคากองทุน EWU ปรับตัวขึ้นตาม ในปี 2021 กองทุน EWU สามารถปรับตัวขึ้นได้ 7.8% และตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน กองทุนตัวนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งหมด 2.4% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 13.74x และ 1.82x ตามลำดับ
หลายๆ บริษัทใน EWU มีแนวโน้มว่าจะสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ในไตรมาสหน้า ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าบริษัทที่สังกัดอยู่ในดัชนี FTSE 100 และกองทุน EWU จะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อไป
2. Xtrackers MSCI Europe Hedged Equity ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $34.84
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $30.92 - $37.05
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.95%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.45% ต่อปี
ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัยนโยบายเศรษฐกิจ (CEPR) ระบุเอาไว้ว่า
“หลังจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง 5.3% ในปี 2021 เราคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหภาพยุโรปจะเติบโต 4.0% ในปี 2022 และ 2.8% ในปี 2023”
ข้อมูลนี้จึงเป็นที่มาของการแนะนำกองทุนตัวที่สอง ซึ่งมีชื่อว่า Xtrackers MSCI Europe Hedged Equity ETF (NYSE:DBEU) เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นยุโรปหลายประเภท และพยายามลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำตามวัตถุประสงค์กองทุนลดลง DBEU เปิดให้เริ่มซื้อขายในเดือนกันยายน 2013 มีสินทรัพย์รวมแล้วทั้งหมดอยู่ที่ 527.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
DBEU อ้างอิงราคาตามดัชนี MSCI Europe US Dollar Hedged Index ปัจจุบันถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 439 แห่ง หากพิจารณาการถือครองหุ้นออกเป็นสัดส่วนจะพบว่ากองทุนนี้ถือครองหุ้นในกลุ่มการเงินมากที่สุด 15.73% ตามมาด้วยกลุ่มดูแลสุขภาพ 14.73% กลุ่มอุตสาหกรรม 14.04% กลุ่มสินค้าจำเป็น 12.05% และสินค้าอุปโภคบริโภค 10.18%
หากพิจารณาการถือครองหุ้นออกตามแต่ละประเทศ จะพบว่า DBEU ถือครองหุ้นบริษัทในสหราชอาณาจักรมากที่สุดเกิน 21% ตามมาด้วยฝรั่งเศส 16.50% สวิสเซอร์แลนด์ 15.72% เยอรมัน 12.49% และเนเธอร์แลนด์ 7.99%
หุ้น 10 อันดับแรกของกองทุนคิดเป็นเกือบ 20% ของพอร์ตทั้งหมด หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Nestle (OTC:NSRGY), ASML Holding (NASDAQ:ASML), Roche Holding (OTC:RHHBY), LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton (OTC:LVMUY) และ Novartis (NYSE:NVS)
แม้ว่าปีที่แล้วกองทุน DBEU จะสามารถปรับตัวขึ้นได้ 7.8% และสร้างจุดสูงสุดไปเมื่อเดือนมกราคม แต่นับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ DBEU ปรับตัวลดลงมาแล้ว 4% นักลงทุนที่กำลังมองหากองทุนลงทุนในหุ้นยุโรป สามารถพิจารณา DBEU เป็นหนึ่งในตัวเลือกได้