Investment Ideas:
ภาพรวมการลงทุน - เราคาดว่า SET สัปดาห์นี้ (21-25 ก.พ. 2565) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,6751,705 จุด เราคาดว่า SET ยังมีแนวโน้มปรับลดลง จาก 2 เหตุการณ์สําคัญ ได้แก่ (1) สถานการณ์ความ ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน กดดันภาพรวมการลงทุน และ (2) สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ที่ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุข ประกาศการยกระดับการเตือนภัยโควิดเป็นระดับ 4 ทั่วประเทศ งดไปที่ เสียง เสียงเดินทาง) ทําให้หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล และเครื่องมือแพทย์น่าสนใจ อย่าง CHG BCH TM SMD และ WINMED อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจ ที่สภาพัฒน์ฯ ยังมีมุมมองที่เป็น บวกเช่นเดิม โดยเชื่อว่า GDP ไทยในปี 2565 จะเติบโต 3.5% ถึง 4.5% ตามประมาณการเดิม โดยหลัก มาจากกําลังซื้อในประเทศที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกเชน ยังคงทําให้หุ้นในกลุ่ม Domestic Play ยังคงน่าสนใจ ประเด็นที่น่าติดตามสัปดาห์นี้ ประเด็นอยู่ที่ การรายงาน PCE และ Core PCE Price Index สหรัฐฯ วันที่ 25 ก.พ. ซึ่งเป็นดัชนีเงินเฟ้อที่ Fed ให้น้ําหนักในการกําหนดทิศทางการ ดําเนินนโยบายการเงิน รวมไปถึงการรายงานอัตราเงินเฟ้อ เดือน ม.ค. ของยูโรโซน (23 ก.พ.) Trading Ideas: กําลังซื้อในประเทศแข็งแกร่ง เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เลือก CPALL (BK:CPALL) CPF BJC MAKRO และ HMPRO เป็นหุ้นเด่น - สภาพัฒน์ฯ ยังเชื่อว่า GDP ไทยในปี 2565 ขยายตัวในกรอบ 3.59% ถึง 4.5% ยังมีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะปัจจัยขับเคลื่อนสําคัญอย่าง Private Consumption และ Private Investment ที่คาดว่าจะขยายตัว 4.5% และ 3.8% ตามลําดับ เป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่ม Domestic play ได้แก่ (1) หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการเร่งการลงทุนโครงการ ก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐบาล (2) หุ้นในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย จากกําลังซื้อที่ฟื้นตัว และมาตรการการ กระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มกําลังชื่อที่อยู่อาศัย และ (3) หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก อาหาร เครื่องดื่ม (4) หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นกําลังซื้อ และการจับจ่ายใช้สอย ของภาคครัวเรือน และ (5) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากมาตรการกระตุ้นให้ภาคเอกชนขยายการลงทุน อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาค จะทําให้ SET ยังคงมีโอกาสผันผวน ทําให้เราเลือกเฉลี่ยหุ้นในกลุ่ม ที่เกี่ยวกับอุปโภคบริโภค เราเลือก CPALL CPF BJC MAKRO GLOBAL DOHOME และ HMPRO
สภาพัฒน์ฯ คงประมาณการ GDP ปี 65 ขยายตัว 3.5-4.5% ปรับกรอบเงินเฟ้อเพิ่มเป็น 1.5-2.5% - สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดแนวโน้มเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2565 ขยายตัวในกรอบ 35% ถึง 4.5% ตามเดิม ปัจจัยสนับสนุนสําคัญมาจากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ ภายในประเทศ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออก และแรง ขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐฯ โดย สศช. คาดมูลค่าการส่งออกสินค้า (ดอลลาร์สหรัฐฯ) ขยายตัว 4.9% ส่วนมูลค่าการนําเข้าสินค้า (ดอลลาร์สหรัฐฯ) ขยายตัว 5.9% ดุลการค้าคาดเกินดุล 3.97 หมื่นล้านเหรียญ การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ขยายตัว 4.5% และ 3.8% ตามลําดับ และการลงทุนภาครัฐฯ ขยายตัว 4.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เฉลี่ยอยู่ในช่วง 1.5 - 2.5% (เดิมคาด 0.9 - 1.99%) และดุลบัญชี เดินสะพัดจะเกินดุล อยู่ที่ 7.7 พันล้านเหรียญ คิดเป็น 1.5% ของ GDP เรามีมุมมองเป็นบวกต่อการฟื้นตัว ของภาพรวมเศรษฐกิจจาก การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนกําลังซื้อในประเทศที่แข็งแกร่ง ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการคาดหมายจะเห็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นยังคงมีปัจจัยจํากัดจากการมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ ทําให้ดุล บริการ (Services Account) ยังขาดดุลต่อเนื่อง แม้ดุลการค้า (Trade Balance) จะขยายตัวตามปริมาณ การค้าโลกที่เพิ่มขึ้น ทําให้เรามองว่าค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะกลับไปอ่อนค่าในช่วงที่เหลือของปี 2565 ความตึงเครียดในยูเครนยกระดับ หลังผู้นํารัสเซียประกาศรับรอง 2 แคว้นในดอนบัส - สถานการณ์ตึงเครียด ระหว่างรัสเซียและยูเครน ยังเป็นประเด็นที่กดดันตลาด หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นํารัสเซีย ประกาศรับรองสถานะการเป็นรัฐอิสระของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์ ในเขตภูมิภาคดอนบาสของยูเครน ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย เหตุการณ์ดังกล่าวมีการถ่ายทอดสด ทางโทรทัศน์ ช่วงเย็นวันที่ 21 ก.พ. ตามเวลาท้องถิ่น (ช่วงเช้ามืด 22 ก.พ. ตามเวลาไทย) เรามองว่าการ ประกาศรับรองเอกราชของ 2 แคว้น ในเขตภูมิภาคดอนบาสของยูเครน จะเป็นการเพิ่มน้ําหนักต่อความ เป็นไปได้ที่สถานการณ์จะมีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากการรับรองสถานะของ 2 แคว้นดังกล่าวถือเป็นการฉีก ข้อตกลงมินสก์ แต่ยังคงให้น้ําหนักน้อยต่อการที่สถานการณ์ดังกล่าวจะยกระดับเป็นสงครามครั้งใหญ่ เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ของรัสเซีย เป็นผู้ผลิตก๊าซฯ อันดับ 2 ของโลก (6.4 แสนลูกบาศก์เมตร) และ น้ํามัน อันดับ 3 ของโลก (10.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน) มีการส่งออกก๊าซฯ และน้ํามัน อันดับ 1 และ อันดับ 2 ของโลก ตามลําดับ สร้างรายได้รวมต่อปีกว่า 1 แสนล้านเหรียญ ปัจจุบันรัสเซียส่งออกก๊าซไปยังกลุ่มประเทศ OECD ในยุโรป คิดเป็น 72% ของการส่งออกก๊าซฯ ทั้งหมดของรัสเซีย ขณะที่นํามันคิดเป็น 48% ของการ ส่งออกนํามั่นทั้งหมดของรัสเซีย โดยเฉพาะ เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส มุมมองทางเทคนิค - หุ้นแนะนําปัจจัยทางเทคนิค เราเลือก BJC MAKRO และ GLOBAL
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities