แม้มีแรงกดดันที่ค่อนข้างแรงจากสถานการณ์ ยูเครน-รัสเซีย ขณะที่การส่ง สัญญาณใช้นโยบายการเงินตึงตัวจาก Fed ก็ยังมีอยู่ แต่สำหรับตลาดหุ้นบ้าน เราก็ยังเห็นการไหลเข้าของ Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่เงิน บาทก็แข็งค่าต่อเนื่อง ภาพดังกล่าวสะท้อนความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทยได้ เป็นอย่างดี สำหรับประเด็นหลักที่จะมีอิทธิพลต่อตลาดการเงินได้แก่ พัฒนการ ของสถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังมีความตึงเครียดระดับสูง แต่อย่างไรก็ตามยังเห็นบางเคลื่อนไหวที่อาจนำไปสู่การเจรจาได้เช่นกัน ผล สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าวทำให้ราคา Commodity เฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม พลังงานปรับตัวสูงขึ้น สร้าง Sentiment บวกในการเก็งกำไรในช่วงสั้น
คาด SET Index ผันผวนต่อโดยมีกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณ 1675 – 1700 จุด โดยมีจุดสำคัญที่เส้น EMA 10 วันบริเวณ 1682 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ ไม่ มีการปรับเปลี่ยน ส่วนหุ้น Top Pick เลือก KBANK (BK:KBANK) , PTT (BK:PTT) และ TOP
ความตึงเครียดยูเครน-รัสเซียยังมี แต่หากคลี่คลายเชื่อ Flow ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง อีกครั้ง
ความตึงเครียดระหว่างยูเครน-รัสเซียยังมีต่อเนื่อง ภายหลังจากที่การเจรจาระหว่าง นายโจ เดน ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่มี ความคืบหน้าเพิ่มเติม และสหรัฐออกคำสั่งย้ายสถานฑูตของตนประจำยูเครนจากเดิมที่ ตั้งอยู่ในกรุงเคียฟไปยังเมืองลวิว ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของยูเครน เนื่องจากสถานการณ์ ในพื้นที่ชายแดนมีความตึงเครียด
อย่างไรก็ตาม ASPS เริ่มสังเกตเห็นความพยายามของหลายภาคส่วนที่จะช่วยลดความ ตึงเครียดลงบ้าง อาทิเช่น
รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครนขอให้มีการเจรจากับรัสเซีย ภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อขอความโปร่งใสจากการที่รัสเซียชี้แจงว่าไม่มีแผนบุกยูเครนแต่อย่างใด
นายกรัฐมนตรีเยอรมนีออกเดินทางไปยังยูเครน (14 ก.พ. 2565) และรัสเซีย (15 ก.พ. 2565) เพื่อพบกับผู้นำของทั้งสองประเทศ
เอกอัครราชทูตยูเครนประจำอังกฤษเปิดเผยว่า ยูเครนอาจตัดสินใจไม่เข้าร่วม เป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) เพื่อหลีกเลี่ยงความ ขัดแย้งกับรัสเซีย เนื่องจากหากยูเครนเข้าร่วม NATO จะส่งผลให้กลุ่มประเทศ NATO ขยายอิทธิพลเข้ามาใกล้ชายแดนรัสเซีย
จากสถานการณ์ข้างต้น ASPS มองว่าในระยะสั้น แรงกดดันด้านลบจากกรณียูเครนรัสเซียมีน้ำหนักต่อตลาดการเงินโลกมาก ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Asset) ถูก กดดันต่อ เช่น ตลาดหุ้นยุโรป -2.2%, เอเชีย -0.7%, สหรัฐ -0.4% นอกจากนี้ตลาดหุ้น โลกยังต้องเผชิญกับแรงกดดันอีกส่วนจากความกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นโยบายของ Fed หลัง นาย James Bullard ประธาน Fed สาขาSt. Louis กล่าวว่า Fed ควรลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะอัตราเงินเฟ้อสูงกว่า คาด (ให้น้ำหนักการรายงาน Fed Minute ของการประชุมเดือน ม.ค. 2565 ที่จะ เผยแพร่ในวันที่ 16 ก.พ. 2565 นี้) ขณะที่ราคาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ยัง ปรับขึ้นได้ เช่น Doller Index แข็งค่า 0.2%, เงินบาทแข็งค่า 0.5% ขณะที่ Bond Yield กลับมาฟื้นตัวจากมุมมองนาย James Bullard ข้างต้น
สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ในระยะสั้น ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยอาจเผชิญแรง กดดันต่อได้ คล้ายกับตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่เชื่อผลกระทบจะไม่มาก เพราะตลาดหุ้น ไทยมีสัดส่วนหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ราว 1 ใน 3 ส่วนในระยะข้างหน้า หากความตึงเครียดยูเครน-รัสเซียมีแนวโน้มผ่อนคลายลงมา คาดจะเป็นจุดเปลี่ยน (Trigger point) ให้ Fund Flow ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นบวกต่อ ตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นไทย
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับขึ้นตามกระแสจะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน-สหรัฐ ช่วง สั้นยังแนะนำเก็งกำไรต่อ
Geopolitics Risk ที่สูงขึ้นโดยมีประเด็นเรื่องรัสเซีย - ยูเครน ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึง ปัจจุบันเป็นจุดร้อนแรงหลักโดยอาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ในอีกด้าน หนึ่งก็เป็นแรงหนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายสินค้าปรับขึ้นมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ราคาถ่านหิน ปรับขึ้นราว 43.15%นับตั้งแต่ต้นปี (ytd) , ราคาน้ำมันดิบ +24%ytd, แก็สธรรมชาติ17.18%, ค่าการกลั่น +11.6% อลูมิเนียม +11%ytd อื่นๆ อาทิ นิค เคิล ลิเธียม, ฯลฯ (ดังรูป) โดยปัจจัยหนุนราคาดังกล่าวมาจาก ความกังวลจะ Supply จะหายไปหากเกิดสงคราม เนื่องจากรัสเซียเป็น 1.) ผู้ผลิตน้ำมันเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากซาอุดิอาระเบีย 2.) เป็นผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ฯลฯ นอกจากนั้นบางสินค้าอาจจะมีปัจจัยหนุนจากช่วงไตรมาส 1 เป็นช่วงหน้าหนาวทำให้มี Demand การบริโภค
ระยะสั้นแนะนำเก็งกำไร Theme ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับขึ้นตามกระแสวามตึง เครียดจะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเคร อาทิ เมื่อวานนี้ น้ำมันดิบ +2% แนะนำเก็งกำไร หุ้น น้ำมัน อาทิ PTT, PTTEP ราคาหุ้นยังขึ้นน้อย คือ ขึ้น 6.6% ตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบัน และ 13% Laggard ราคาน้ำมันดิบขึ้นราว 24%ytd และราคายาง เมื่อวานขึ้น 3.3%
และตั้งแต่ต้นปีปรับขึ้นราว 8.2% ytd VS. หุ้นยาง อาทิ NER, STA ปรับขึ้นเพียง 2.1% และ 3.2% ตามลำดับ เป็นต้นดังรูป และราคาถ่านหินแม้ช่วงสั้นจะปรับลง แต่นับตั้งแต่ต้นปี +43.15%ytd แต่ราคาหุ้น BANPU ขึ้นเพียง 8.5% LANNA +24.34% แนะนำ BANPU
เดือนนี้ต่างชาติซื้อหุ้นไทยมากสุดในรอบ 17 ปี และซื้อตรงนี้ต้นทุนต่ำกว่าต่างชาติ แนะ PTT, TOP, KBANK
แม้ตลาดหุ้นโลกยังผันผวน จากความตึงเครียดยูเครน - รัสเซีย และความกังวลต่อ Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย แต่ตลาดหุ้นไทยถือเป็นหนึ่งในการลงทุนทางเลือกที่ดีในมุมมองของนัก ลงทุนต่างชาติ สะท้อนได้จากในเดือน ก.พ. 65 (mtd) Fund Flow ต่างชาติไหลเข้า ตลาดหุ้นไทยสูงถึง 1.4 พันล้านเหรียญ หรือ 4.7 หมื่นล้านบาท (mtd) สูงสุดในภูมิภาค และเป็นเดือนที่ต่างชาติซื้อหุ้นไทยมากสุดในรอบ 17 ป
ฝ่ายวิจัยฯ คาด Fund Flow ยังมีโอกาสไหลเข้าต่อเนื่อง ทั้งจากความได้เปรียบในมุม โครงสร้างมีหุ้นพลังงานและธ.พ. รวมกันเกือบ 40% และมีหุ้นที่อิงกับเทคฯ เมืองนอก น้อยไม่ถึง 5%, ดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ, แนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ที่เติบโตโดดเด่นกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ, ค่าเงินบาทที่ แข็งค่าต่อเนื่อง แม้ดอลลาร์จะแข็งค่าก็ตาม ทุกปัจจัยล้วนหนุนให้ Fund Flow ไหล เข้าตลาดหุ้นไทยได้ต่อเนื่อง
และจากสถิติในอดีตย้อนหลัง 30 ปี ชี้ให้เห็นว่า เดือนไหนก็ตามที่ต่างชาติซื้อสุทธิสูง กว่า 4 หมื่นล้านบาท เดือนนั้นหุ้นมีโอกาสขึ้นสูงกว่า 5% เสมอ ซึ่งปัจจุบันตั้งแต่ 1 - 14 ก.พ. 65 Fund Flow ไหลเข้าหุ้นไทยเกิน 4 หมื่นล้านบาทเช่นกัน แต่ SET Index เพิ่งปรับขึ้นมาเพียง 2.2% เท่านั้น อีกทั้งต้นทุนของต่างชาติเทียบกับ SET Index ใน เดือนนี้ยังอยู่ที่ 1692 จุด สูงกว่าดัชนี ณ ปัจจุบันที่ 1684 จุด จึงถือเป็นโอกาสในการ สะสม และ SET Index มีโอกาสฟื้นตัว ได้แรง หากปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลาย พร้อม กับ Fund Flow ที่ยังคอยสนับสนุนต่อเนื่อง
กลยุทธ์แนะนำหุ้นใหญ่ มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ราคา Laggard ราคาน้ำมัน อย่าง PTT, TOP และหุ้นที่ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้น KBANK เป็น Toppick
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities