ภายใต้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หุ้นแมคโดนัลด์กับสตาร์บัคส์อันไหนปลอดภัยกว่ากัน

ในช่วงเวลาที่หาความแน่นอนไม่ได้ หุ้นร้านอาหารถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักลงทุนระยะยาว ต้นทุนที่อยู่ภายใต้การควบคุม การมีแฟรนไชส์ร้านอาหารอยู่ทั่วโลก และเสถียรภาพในการสร้างผลกำไร ปัจจัยเหล่านี้คือความแข็งแกร่งของหุ้นร้านอาหารแฟรนไชส์ที่กลายเป็นเกราะป้องกันให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความผันผวนสูงไปได้

ถ้าหากพูดถึงยักษ์ใหญ่ของวงการแฟรนไชส์แห่งสหรัฐอเมริกา ชื่อของแมคโดนัลด์ (NYSE:MCD)และสตาร์บัคส์ (NASDAQ:SBUX) จะต้องปรากฎขึ้นมาเป็นชื่อแรกๆ อย่างแน่นอน ในบทความนี้เราจะพาไปดูว่าหุ้นตัวไหนอยู่ในจุดที่เหมาะสมจะลงทุนมากกว่าในปี 2022 ในปีที่ยังคงต้องเผชิญกับโรคระบาด เงินเฟ้อ และเพิ่มเติมเข้ามาด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ

1. Starbucks

จากพฤติกรรมของราคาหุ้นสตาร์บัคส์ที่ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วแสดงให้เห็นว่านักลงทุนหมดความสนใจในหุ้นของแบรนด์กาแฟนางเงือกเขียวเจ้านี้ แม้จะเคยสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม แต่การปรับตัวร่วงลงมามากกว่า 10% ก็ทำให้หุ้นสตาร์บัคส์ทำผลงานได้แย่กว่าหุ้นผู้ประกอบการร้านอาหารรายอื่น ล่าสุดหุ้นสตาร์บัคส์มีราคาซื้อขายเมื่อวานนี้อยู่ที่ $106.03

ในช่วงไตรมาสที่สาม หุ้นสตาร์บัคส์ทำท่าว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่เกือบจะขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับก่อนโควิด แต่สตาร์บัคส์ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่เมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการขนส่งแพงขึ้นจากปัญหาสภาวะเงินเฟ้อ ที่ทำให้ต้นทุนสินค้าอาหารแพงขึ้น นักวิเคราะห์หลายสำนักลงความเห็นว่าประเด็นนี้จะเป็นแรงกดดัน ชะลอการฟื้นตัวของบริษัทสตาร์บัคส์ ถ้าหากสตาร์บัคส์ยังไม่หยุดที่จะลงทุนเพื่อขยายตลาดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง

เพื่อที่จะแย่งตลาดมาจากคู่แข่ง สตาร์บัคส์เล็งที่จะทำกำไรในปี 2022 จากรายจ่ายเพื่อการได้มาของสินทรัพย์ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการเพื่อหารายได้ $2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตลาดในประเทศจีน คริสโตเฟอร์ คาร์ริล นักวิเคราะห์จาก RBC Capital Markets ได้ปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของหุ้นสตาร์บัคส์ลงโดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะผลกระทบจากราคาต้นทุนสินค้าวัตถุดิบ

“การให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจของสตาร์บัคส์มาโดยตลอด กลยุทธ์นี้อาจจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องในระยะยาว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าวัตถุดิบในการรังสรรกาแฟรสเลิศก็เป็นสิ่งสำคัญ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สตาร์บัคส์จะหลีกเลี่ยงปัญหาต้นทุนแพงไปได้ ถ้าหากต้นทุนการดำเนินการทั้งหมดยังอยู่ในระดับ 18-19% ระยะเวลาในการที่จะกลับขึ้นไปจนถึงจุดฟื้นตัวได้ก็ต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิม”

ไบรอัน บิทเนอร์ นักวิเคราะห์จาก Oppenheimer ให้ความเห็นว่า

“จากการวิเคราะห์ของเราได้ข้อสรุปการคาดการณ์ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นในปี 2022 และ 2023 ว่ายังไม่มีแรงจูงใจที่จะผลักราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้นได้ ถึงแม้นักวิเคราะห์หลายสำนักจะลงความเห็นว่าในปี 2022 จะยังเป็นปีที่สามารถลงทุนได้ แต่ในปี 2023 นั้นนักวิเคราะห์มองว่าอัตราการเติบโตของ EPS จะลดลง”

2. McDonald’s

สถานการณ์ของหุ้นแมคโดนัลด์นั้นแตกต่างออกไปจากสตาร์บัคส์อย่างสิ้นเชิง หุ้นแมคโดนัลด์พึ่งสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มอบผลตอบแทนคืนแก่ผู้ถือหุ้นในปีที่แล้วประมาณ 25% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันจันทร์อยู่ที่ $264.41 สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เชื่อว่าหุ้นแมคโดนัลด์คือหลุมหลบภัยชั้นดี

หนึ่งในเหตุผลที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับหุ้นแมคโดนัลด์คือร้านอาหารส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดไม่มากก็น้อย ในขณะที่แมคโดนัลด์มีระบบการให้บริการที่ครบครันมากกว่า มีทั้งระบบส่งของถึงที่บ้าน หรือให้ลูกค้าใช้บริการ Drive-Thru และมีสาขาย่อยมากถึง 13,000 สาขา เมื่อพิจารณายอดขายเปรียบเทียบระหว่างสาขาในไตรมาสที่ 3 พบว่าขยายตัวเพิ่มขึ้น 12.7% เอาชนะตัวเลขคาดการณ์ 10% ไปได้

ไปเปอร์ แซนด์เลอร์ อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าว CNBC พร้อมทั้งวิเคราะห์สถานการณ์ของแมคโดนัลด์ว่า

“การที่แมคโดนัลด์เป็นเจ้าของกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำทำให้แมคโดนัลด์ควบคุมต้นทุนได้ทุกส่วน แม้จะต้องเจอกับภาวะเงินเฟ้อที่เข้ามาเพิ่มต้นทุนการผลิต แต่เพราะผู้บริโภคไม่มีทางเลือกในยามที่ช่องทางการบริโภคมีจำกัด ทำให้แมคโดนัลด์ยังสามารถทำกำไรต่อไปได้ แม้ผลสำรวจที่ได้จะระบุว่าความต้องการของผู้บริโภคจะเข้าใกล้จุดสูงสุดแล้ว แต่ความต้องการสินค้าอย่างเช่นแฮมเบอเกอร์และไก่ทอด ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยที่ลูกค้าจะยังคงเลือกแมคโดนัลด์”

ที่มา: Investing.com

นักวิเคราะห์ 27 คนจาก 37 คนจาก Investing.com ยกให้หุ้นแมคโดนัลด์อยู่ในระดับที่ “โดดเด่น” ระดับราคาเป้าหมายในระยะเวลา 12 เดือนคือ $274.55 เพิ่มขึ้น 4% จากระดับราคาในปัจจุบัน

โดยสรุปแล้ว

หุ้นแมคโดนัลด์เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสตาร์บัคส์อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยไลน์การผลิตที่ไม่ได้มีแต่กาแฟเท่านั้น ประกอบกับการเป็นบริษัทที่มีสาขามากที่สุดในโลก ทำให้แมคโดนัลด์สามารถชดเชยกำไรที่หายไป จากการขายผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นได้ ในขณะที่กาแฟเป็นสินค้าที่บริโภคยังสามารถเลือกได้ว่าจะบริโภคหรือไม่ แต่เนื้อหมู เนื้อไก่ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเลี่ยงได้