“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” .
ประโยคอมตะอันลือลั่นที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้กล่าวเอาไว้
ไม่ได้แปลว่า ความรู้ ไม่สำคัญ แต่ความรู้เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้น เป็นปัจจุบัน
แล้วเราก็คิดต่อยอดจากความรู้นั้นด้วยจินตนาการ กลายเป็นภาพอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นมา
การลงทุนก็เช่นกัน ที่ตลาดหุ้นเป็นตลาดของความคาดหวัง ตลาดของการมองไปข้างหน้า การที่เราเห็นตัวเลขในงบการเงินวันนี้ อาจจะไม่สามารถทำกำไรได้
หากแต่เราต้องเอาข้อเท็จจริงในวันนี้ไปจินตนาการถึงภาพที่จะปรากฎในงบไตรมาสหน้า หรืองบปีหน้าให้ออก ถ้าเราคิดได้ก่อน เห็นภาพได้ชัด ก็จะเปิดโอกาสในการลงทุนได้ก่อนใคร
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้เราก็คงจะบอกตัวเองว่า
- ซื้อหุ้นโรงพยาบาลก่อนเลย เพราะ COVID ไม่จบในเวฟเดียวแน่ เดี๋ยวต้องมีมาอีกหลายรอบ จนรับไม่ไหว ถ้าเราเชื่อแบบนั้นก็กำไรกันไป
- ซื้อหุ้นเรือ หุ้น Logistics เพราะพอ COVID จบ ต้องมี pent up demand แน่นอน แต่ supply ยังไม่พอ เรือต้องขาด ตู้คอนเทนเนอร์ต้องหายาก ราคาหุ้นน่าจะขึ้นแน่ๆ
- ซื้อหุ้น Electronics เพราะ chip ขาดแคลน แต่ demand ยังสูง โรงงานก็ผลิตกันจนเต็มกำลังการผลิต ยังไงก็น่าจะดี กำไรเพิ่มเห็นๆ
แต่นี่คือ การเล่าเรื่องแบบย้อนกลับ เล่าเรื่องแบบรู้งี้ แต่ในความเป็นจริง ตอนเหตุการณ์ตรงหน้าเรามักจะคิดไม่ออก จินตนาการไม่ถูก
วิตามินหุ้นยกไอเดียแบบอื่นๆ ให้ฝึกดูมุมมองกันซัก 2 เรื่อง แบบนี้ครับ
1️. ตลาดจะปรับ P/E ให้หุ้นที่มีลักษณะเหมือนกัน
อันนี้จะเจอบ่อยกับหุ้น IPO ที่กำลังจะเข้าตลาด หลายครั้งที่เราไม่ได้หุ้นจอง พอเปิดตลาดราคาก็กระโดดไปไกล จนเราซื้อไม่ไหว ถ้าเจอแบบนี้ให้ทำการบ้านไว้ก่อนเลยว่า ราคา IPO ของหุ้นตัวนี้คิดเป็น P/E กี่เท่า Forward P/E ปีหน้ากี่เท่า
แล้วถ้าราคาเปิดมาบวกไป 20% บวกไป 50% จะเป็น P/E เท่าไหร่ ให้เราคำนวณไว้ล่วงหน้าก่อน
เสร็จแล้ว เราอาจจะมองว่า แพงจัง ถ้าเราซื้อบนกระดาน เสียเปรียบคนได้หุ้นจอง ให้เรารีบไปดูหุ้นที่ทำธุรกิจคล้ายกัน หรืออยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ถ้าราคาปัจจุบัน P/E ต่ำกว่า แต่ศักดิ์ศรีไม่ได้ด้อยกว่า ความเก่งไม่ได้แพ้กัน ก็มีโอกาสที่ตลาดจะปรับ P/E หรือปรับราคาให้ขึ้นมมาทัดเทียมกันได้ ตอนที่หุ้น IPO เข้าตลาด
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็อย่างเช่น หุ้น Tech Consult อย่าง IIG, BE8, BBIK ที่ขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง หรือตอนที่ TIDLOR เข้าตลาด MTC, SAWAD ก็มีขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
2️. ตลาดแข่งขัน ถ้ามีคนทำก็จะมีคนตาม
ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันกัน ถ้ามีรายใดรายหนึ่งทำธุรกิจอะไร ก็อาจจะคาดการณ์ได้ว่า เดี๋ยวอีกรายต้องทำอะไรบางอย่างคล้ายกันออกมาหรือออกแคมเปญอะไรมาแข่งกัน ถ้าเราไม่ทันหุ้นตัวนำที่เฉลยภาพมาก่อน ก็อาจจะไปเล่นหุ้นตัวตามที่คาดว่าอาจจะทำอะไรคล้ายๆ กันออกมาได้
ยกตัวอย่าง SCB เปลี่ยนเป็น SCBx มีการจัดทัพองค์กรใหม่ X กับหลายบริษัทเต็มไปหมด แต่ราคาก็วิ่งขึ้นไปก่อนที่เราจะซื้อ ตลาดก็จะเริ่มคาดหวังว่าแบงค์อื่นที่ดูใกล้เคียงกันอย่าง KBANK (BK:KBANK), BBL อาจจะมีอะไรแบบนี้บ้างไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ทำให้ราคาหุ้นแบงค์ใหญ่ขึ้นตามกันมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ประกาศอะไรออกมา
================================
ทีนี้เรากลับมาจินตนาการเรื่องอนาคตกันบ้างครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปีหน้าเพื่อหาโอกาสในการลงทุนกัน เช่น
ปีหน้าชาวต่างชาติน่าจะเริ่มกลับมา จินตนาการบอกเราว่า คำว่าต่างชาติ แปลได้หลายอย่าง เช่น นักธุรกิจอาจจะมาก่อน คนไข้ต่างชาติจะมาก่อน และตามมาด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจจะมาไม่เยอะก็ได้ ถ้าเราคิดแบบนี้ เราก็อาจจะไปลงทุนหุ้นนิคมอุตสาหกรรมก่อน ลงทุนหุ้นเพื่อนนิคม เช่น รถรับส่งพนักงาน บริษัทขายน้ำขายไฟเข้าโรงงาน บริษัท outsource ต่างๆ แล้วค่อยมาดูโรงพยาบาล หรือ โรงแรม สนามบิน
ปีหน้าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้น รัฐบาลน่าจะกระตุ้นทั้งการบริโภคและการจ้างงานขนานใหญ่ มีการประมูลโครงการภาครัฐมากขึ้น แปลว่า หุ้นของกินของใช้ หุ้นร้านค้าปลีก หุ้นรับเหมา หุ้นวัสดุก่อสร้าง หุ้นอสังหาก็น่าจะดี
ปีหน้าเกิดการทำงานแบบ Hybrid เช่น เข้าออฟฟิศ 3 วัน ทำงานที่บ้าน 2 วัน ประชุมผ่าน ZOOM กันมากขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้จริง อสังหาแนวราบดูน่าสนใจ อุปกรณ์ IT ยังโตได้ต่อ ระบบ cyber security มีความจำเป็น แต่พื้นที่สำนักงานอาจจะลดลงได้
ปีหน้าอาจจะมีการเลือกตั้งไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าจินตนาการบอกเราแบบนี้ ก็ต้องไปดูว่าหุ้นอะไรได้ประโยชน์บ้าง เช่น หุ้นสื่อมั้ย หุ้นพิมพ์บัตรเลือกตั้ง หุ้นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายต่างๆ ที่จะออกมา
ปีหน้ามาตรการต่างๆ เลิกผ่อนคลาย แต่ก็อาจจะมีหลายคนที่ไปต่อไม่ไหว ต้องกู้หนี้ยืมสิน ต้องเอารถมาจำนำ หรือโดนยึดรถ ถ้าเชื่อแบบนี้ก็ไปดูหุ้นเกี่ยวกับการเก็บหนี้ ทวงหนี้ ขายทรัพย์ ประมูลทรัพย์ทั้งหลาย
ปีหน้าหรือปีต่อๆ ไป โลกเราจะมาเน้นเรื่อง ESG มากขึ้น รักโลกกันมากขึ้น เราก็อาจจะมองหาบริษัทที่เป็นมิตรต่อโลก ทำกิจการที่ดูแลโลกให้น่าอยู่ ซึ่งอาจไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทที่ทำ EV ทำแบตเตอรี่เท่านั้น แต่รวมถึงบริษัทอื่นๆ ที่มี ESG ที่ดี อาจจะมีการ recycle วัตถุดิบที่ดี ปล่อยของเสียออกมาน้อย เป็นต้น
สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ เราสามารถจินตนาการได้เยอะแยะมากมาย
แต่จินตนาการ ต่างจากการมโน หรือการเดาสุ่มแบบมั่วๆ จริงๆ แล้ว ถ้าเราให้คำจำกัดความจะได้ว่า
“Imagination is Sum of All Facts” หรือ จินตนาการเกิดจากผลรวมของข้อเท็จจริงทั้งหมดรวมกัน
คือ เราต้องเริ่มต้นด้วยการค้นคว้าหาข้อมูล ดูงบ ดูธุรกิจให้เข้าใจก่อน เสร็จแล้วก็เอามาจินตนาการต่อยอดเพื่อให้เห็นภาพความน่าจะเป็นที่ชัดเจนที่สุด เพื่อหาโอกาสในการลงทุนจากตรงนั้น
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins - วิตามินหุ้น