จากการต่อสู้กลางสมรภูมิแข่งขันทางธุรกิจในปี 2021 ปีนี้ก็ยังคงเป็นปีที่หุ้นเทคโนโลยีถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางอีกเช่นเคย กลุ่ม “5 เทพหุ้นเทคฯ” หรือ FAANG ที่ประกอบไปด้วย เมต้าหรืออดีตเฟซบุ๊ก แอมาซอน แอปเปิล เน็ตฟลิกซ์ และกูเกิล ต่างพากันปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า แต่มีเพียงสองจากห้าบริษัทเท่านั้น ที่เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นนั่นคืออัลฟาเบตบริษัทแม่ของกูเกิล (NASDAQ:GOOGL) (NASDAQ:GOOG) และแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) เจ้าของโทรศัพท์ชื่อดัง iPhone
ตลอดทั้งปีที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทเมต้า (NASDAQ:FB) สามารถปรับตัวขึ้นมาได้ 28% แอมาซอน (NASDAQ:AMZN) 7% เน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) 17%มีเพียงกูเกิลกับแอปเปิลเท่านั้นที่โดดเด่นที่สุด ด้วยการขยับตัวขึ้นมากกว่า 70% และ 39% ตามลำดับ ขาขึ้นเช่นนี้ถือว่าโดดเด่นมาก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่บริษัทอื่นๆ ยังคงเผชิญกับปัญหาซัพพลายเชนและแรงงานขาดแคลน และต้นทุนการผลิตที่มีแต่จะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ
ความต้องการฝากโฆษณาไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือใหญ่บนแพลตฟอร์มของกูเกิลทำให้หุ้นของบริษัทอัลฟาเบตกำลังอยู่บนเส้นทางสร้างขาขึ้นที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 กำไรที่ได้มาตลอดทั้งปีมาจากความต้องการซื้อของออนไลน์มากขึ้น ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของกูเกิล บริษัทระบุว่ากำไรจากการโฆษณาเติบโตขึ้น 43% และคาดว่าจะคงอยู่ต่อไปตราบใดที่กระแสการทำงานจากที่บ้านยังไม่จบลง และกูเกิลยังบอกอีกด้วยว่าอัตราการเติบโตของกำไรในปีนี้เร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007
ในขณะที่บริษัทผู้สร้างสื่อโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กและสแน็ป (NYSE:SNAP) กำลังเจอกับปัญหาการปกป้องความเป็นส่วนของนอกระบบปฏิบัติการจากฝั่งแอปเปิล ที่ทำให้รายได้ของพวกเขาลดลง แต่กูเกิลสามารถลอยลำอยู่เหนือปัญหานี้ได้ เพราะมีระบบปฏิบัติการ รวมถึงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่เป็นของพวกเขาเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา iOS ของแอปเปิล
ถึงแม้ว่าปีนี้หุ้นของกูเกิลจะวิ่งขึ้นมามาก แต่นักวิเคราะห์หลายสำนักกลับเห็นตรงกันว่ายังมีพื้นที่ให้หุ้นกูเกิลได้ปรับตัวขึ้นต่อไปในปี 2022 หนึ่งในนักวิเคราะห์คนนั้นคือ Lloyd Walmsley จากธนาคารชื่อดังของสวิตเซอร์แลนด์ UBS เขาได้ปรับราคาเป้าหมายของหุ้นกูเกิลขึ้นจาก $3,190 เป็น $3,925 พร้อมทั้งให้เหตุผลว่า
“เราคิดว่าตัวเลขกำไรและอัตราการเติบโตที่แท้จริงของหุ้นกูเกิลสามารถเพิ่มได้มากกว่าจากที่เห็นอยู่ การลงทุนในเทคโนโลยีคลาวด์ของกูเกิลนับวันยิ่งเห็นผลชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกคนมัวแต่โฟกัสไปที่กำไรจากการฝากโฆษณา โดยไม่รู้เลยว่ากูเกิลได้ลงทุนไปกับคลาวด์มากน้อยแค่ไหน กำไรจากคลาวด์สามารถเข้ามาช่วยเพิ่มกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ของบริษัทได้มาก”
หรือแอปเปิลกำลังจะกลายเป็นสินทรัพย์สำรองใหม่ของโลก?
การฟื้นตัวกลับขึ้นมาของหุ้นแอปเปิลในปี 2021 สามารถทำได้อย่างน่าประหลาดใจ แอปเปิลยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในขณะที่บริษัทเทคฯ รายอื่นๆ ยังต้องเผชิญกับความผันผวน ก่อนหน้านี้เคยมีหลักฐานออกมายืนยันว่าแอปเปิลจะไม่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ของตนได้ทันความต้องการเนื่องจากปัญหาซัพพลายเชนคอขวด ที่ยังคงเป็นประเด็นกดดันบริษัทเทคโนโลยีมาตลอดทั้งปี
ความเป็นไปได้เดียวที่เราพอจะอธิบายได้ว่าทำไมหุ้นแอปเปิลถึงขึ้นทั้งๆ ที่มีปัญหาเรื่องการผลิตคือนักลงทุนไม่ได้มองว่าแอปเปิลเป็นเพียงบริษัทผู้ผลิตมือถือเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่พวกเขากำลังมองหุ้นแอปเปิลว่าเป็นสินทรัพย์สำรองปลอดภัยตัวหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติที่สามารถรับแรงกระแทกในยามที่เศรษฐกิจมีภัย และบัญชีงบดุลที่มีสภาพคล่องอยู่ในมือมากกว่า $200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุด บริษัทแอปเปิลเปิดเผยว่าสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น 36% คิดเป็นกำไรในช่วงไตรมาสที่สามเดือนละ $81,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ยอดขายผลิตภัณฑ์หลักอย่าง iPhone เติบโตขึ้น 50% ชี้ให้เห็นว่าการมี iPhone ที่สามารถใช้งาน 5G ได้จริงกำลังวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับแอปเปิลยุคใหม่ ในขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่างเช่น Apple Watch, AirPods, Apple TV, HomePod ฯลฯ มีกำไรรวมแล้วเพิ่มขึ้น 36%
Katy Huberty นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ปรับราคาเป้าหมายของหุ้นแอปเปิลขึ้นจาก $164 เป็น $200 โดยให้เหตุว่า
“วันนี้เราทุกคนทราบดีว่าแอปเปิลกำลังซุ่มพัฒนาเทคโนโลยี AR/VR และระบบคนขับอัตโนมัติอยู่ ยิ่งเราขยับเข้าใกล้ความเป็นจริงนี้มากเท่าไหร่ หุ้นแอปเปิลก็ยิ่งมีโอกาสเติบโตขึ้นมากเท่านั้น”
ที่จริงแล้วไม่ได้มีแต่เฉพาะหุ้นจากกลุ่ม FAANG เท่านั้นที่เติบโต แต่หุ้นเทคโนโลยีชื่อดังอื่นๆ อย่างเช่นไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) เอ็นวีเดีย (NASDAQ:NVDA) และเทสลา (NASDAQ:TSLA) ต่างก็ได้รับความนิยมด้วยเช่นกัน แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นกับการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีต่อไป
โดยสรุปแล้ว
การเติบโตของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในปี 2021 มีส่วนช่วงดึงดัชนีหลักของอเมริกาให้กลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อปี 2020 และเพราะนักลงทุนยังไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยง พวกเขาจึงยังเลือกหุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ที่ถึงแม้จะเติบโตได้ช้ากว่า แต่ในวันที่อะไรไม่แน่นอน หุ้นบริษัทเหล่านี้กลับมีความเสถียรมากกว่า ตราบใดที่บริษัทเทคฯ เหล่านี้ยังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการระบาดจะยังคงอยู่ ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นเทคฯ แต่อย่างใด