Investment Ideas:
ภาพรวมการลงทุน - เราคาดว่า SET วันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,615-1,640 จุด เราคาดว่า SET จะยังผันผวน ในกรอบ sideway แม้จะมีปัจจัยบวกจากผลการทดสอบประสิทธิภาพยาของบริษัทไฟเซอร์ ได้ผลป้องกันที่มากถึง 89% แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมครอน จากมุมมองของ WHO ที่ให้ความเห็นเป็นลบ รวมไปถึงตลาดยังคงเฝ้าติดตามผลการประชุม FOMC ที่จะกําหนดแถลงเช้าพรุ่งนี้ (16 ธ.ค.) ตามเวลาไทย ซึ่งเรามองว่าจะเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมการลงทุนในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ กลยุทธ์ การลงทุนหลัก เราให้น้ำหนักหุ้นในพอร์ตเพียง 50% โดยยังคงเน้นหุ้นในกลุ่ม Domestic play เป็นหลัก ขณะที่ เก็งกําไรระยะสั้น หุ้นในกลุ่ม Anti-Oil และหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจาก Valuation ที่น่าสนใจ ติดตามการประชุมเฟต พรุ่งนี้เช้า (16 ธ.ค.) คาดคงดอกเบี้ย ส่งสัญญาณเร่งลด QE และขึ้นดอกเบี้ย คาดปี 65 ขึ้นดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง - ติดตามผลการประชุมเฟด โดยจะมีการแถลงในวันนี้ (15 ธ.ค.) ตามเวลาสหรัฐฯ (ช่วง เช้า 16 ธ.ค. ตามเวลาไทย) เราประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเร่งการปรับลดวงเงิน QE จากเดิมที่คาดว่า จะสิ้นสุด มิ.ย. 65 หลังสหรัฐฯ รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 6.8% YoY รวมไปถึงล่าสุดกระทรวง แรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนี PPI เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 0.89%MoM และเพิ่มขึ้น 9.6%YoY และส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 เป็นต้นไป (เราคาดว่าปี 2565 เฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง) เร็วกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าหน้านี้ หลังอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ก็ยังมีแนวโน้มจะคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะข้างหน้า จาก ปัญหาแรงงานในสหรัฐฯ และ Supply Shortage อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามมุมมองของเฟดต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ประมาณการ GDP และเงินเฟ้อสหรัฐฯ ของเฟด รวมไปถึง Dot Plot ที่แสดงถึงประมาณการการปรับอัตราดอกเบี้ย นโยบายของเฟด อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ เฟตต้องพิจารณาร่วม และชั่งน้ำหนักระหว่างความเสียงที่เพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อ และความเสียงที่เพิ่มขึ้นจาก ภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกําหนดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะอยู่ที่ 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง ในปี 2565 ตลาดคลายความกังวล หลังไฟเซอร์ รายงานผลการทดสอบยา มีประสิทธิภาพต้านโอมิครูอน ได้มากถึง 896 - ปัจจัย ลดความกังวลต่อภาพรวมการลงทุน หลังบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ รายงานผลการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายยืนยันว่า ยาแพกซ์ โลวิดของทางบริษัทสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือเสียชีวิตได้ถึง 89% นอกจากนี้ ผลการศึกษายังระบุยาแพกซ์โลวิดมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ โอมิครอน โดยก่อนหน้านี้ ในเดือน พ.ย. ไฟเซอร์ รายงานผลการวิเคราะห์ ยาแพกซ์โลวิดมีประสิทธิภาพ 899% ในการป้องกันผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต ซึ่งเป็นการวิเคราะห์มาจากการทดลองกับ อาสาสมัครจํานวน 1,200 ราย ส่วนการเปิดเผยผลการวิเคราะห์ล่าสุด (15 ธ.ค.) มีการทดลองกับอาสาสมัครเพิ่มขึ้นอีก 1,000 ราย โดยไม่มีผู้ที่เสียชีวิตจากกลุ่มที่ได้รับยาแพกซ์โลวิด ขณะนี้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กําลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาให้อนุมัติการใช้ยาแพกซ์โลวิตเป็นกรณีฉุกเฉิน ประเด็นดังกล่าวจะเป็นบวกต่อ หุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ได้แก่ AOT (BK:AOT) AAV BAFS BA ERW MINT และ CENTEL กลยุทธ์การลงทุนเราแนะนํา “เก็งกําไร”
ราคาน้ำมันดิบตอบรับเชิงลบ หลังกังวลโอมครอน และอุปทานล้นตลาดต้นปี 65 - สํานักงานพลังงานสากล (IEA) คาดว่าตลาดน้ำมันดิบโลก จะมีปริมาณน้ำมันส่วนเกินสูงถึง 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงต้นปี 2565 จากการเพิ่ม กําลังการผลิตของ OPEC+ รวมทั้งการที่สหรัฐ แคนาดา และบราซิล และการระบายน้ำมันจากคลังสํารองของซาติของ สหรัฐฯ และพันธมิตร 10 ชาติ สอดคล้องกับมุมมองของเราที่นําเสนอในช่วงที่ผ่านมา โดยเราเชื่อว่าจุดสูงสุดของความ ต้องการใช้น้ำมันดิบตามฤดูกาลจะอยู่ในช่วง 1065 ขณะที่ราคาน้ำมันดิบจะเริ่มมี Upside ที่จํากัดชัดเจนตั้งแต่หลังปี ใหม่เป็นต้นไป จากที่หลายประเทศเพิ่มสํารองน้ำมันดิบในคลังจํานวนมากในช่วงที่ผ่านมา หลังเผชิญความเสี่ยงต่อ ปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิง รวมไปถึงสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่าที่คาด ทําให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ Market Consensus ประเมินไว้ ขณะที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมครอนส่งผลกระทบต่อการ เดินทางระหว่างประเทศ ทําให้ IEA ปรับลดคาดการณ์ อุปสงค์น้ำมันดิบ ในตลาดโลกลง 600,000 บาร์เรลต่อวัน ใน 1Q65 เรามองเป็นบวกต่อกลุ่ม Anti-Oil เราเลือก TASCO EPG GPSC PTG BGRIM GULF0SP CPALL (BK:CPALL) และ BJC ติดตามรายงานปริมาณสํารองน้ำมันดิบสหรัฐฯ ของสํานักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) วันนี้ (15 ธ.ค.) เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย โดย Market Consensus คาดปริมาณสํารองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จะลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ้นสุดวันที่ 10 ธ.ค. รายงานตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจที่สําคัญ - กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนี PPI เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 0.86MoM และเพิ่มขึ้น 9.6%YoY เป็นระดับสูงสุด ตั้งแต่ที่มีการรวบรวมข้อมูล (พ.ย. 2553) และสูงกว่า Market Consensus ประเมินไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5%MoM และเพิ่มขึ้น 9.2%YoY และเป็นการเพิ่มต่อเนื่องจากเดือน ต.ค. ที่เพิ่มขึ้น 0.696MoM และเพิ่มขึ้น 8.8%YoY/ สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจ ขนาดย่อม เดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น สู่ระดับ 98.4 จุด และดีกว่าที่ Market Consensus คาดไว้ที่ 98.0 จุด และเป็นการ เพิ่มต่อเนื่องจากเดือน ต.ค. ที่ระดับ 98.2 จุด โดยดัชนีความเชื่อมันยังคงถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และ ภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน ขณะที่เจ้าของกิจการลดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้า มุมมองทางเทคนิค - หุ้นแนะนําปัจจัยทางเทคนิค เราเลือก PROEN AUCT และ ETC
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities