มีโอกาสที่สัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบจะสวิงอยู่กรอบราคา $60-$70 ต่อบาร์เรล เมื่อกลุ่ม OPEC และชาติพันธมิตรพยายามที่จะช่วยตลาดน้ำมันโลกจากความผันผวนของการระบาดที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด
เพื่อแสดงความเป็นผู้นำในวงการน้ำมันโลก สัปดาห์นี้กลุ่ม OPEC นำโดยซาอุดิอาระเบียได้ประกาศขึ้นราคาขายน้ำมันอย่างเป็นทางการ (OSP) ที่จะส่งไปขายยังสหรัฐอเมริกาและเอเชีย นี่คือการส่งสัญญาณออกไปยังทั่วโลกว่าพวกเขายังมีพันธกิจและความรับผิดชอบต่อการควบคุมราคาน้ำมันโลกอยู่ และไม่ได้มองข้ามการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ในรอบนี้ การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้นทันที 2% นับเป็นขาขึ้นที่มีพลังมากที่สุดตั้งแต่มีการระบาดของโอมิครอนเริ่มต้นขึ้น
นาย Amin Nasser ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันแห่งชาติแห่งซาอุดิอาระเบีย “ซาอุดิ อารัมโก” (SE:2222) กล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
“การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันหลังจากประกาศขึ้น OSP แสดงให้เห็นถึงความต้องการน้ำมันในช่วงฤดูหนาวปีนี้ และปฏิกริยาของตลาดที่มีต่อการระบาดระลอกใหม่”
ซาอุดิ อารัมโกยังกล่าวอีกว่าบริษัทจะปรับขึ้นราคาน้ำมันเกรดเบาอีก 60 เซนต์เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันในปัจจุบัน คิดเป็นเงิน $3.30 บาร์เรล และจะปรับขึ้นราคาน้ำมันเกรดหนักที่จะส่งไปยังสหรัฐฯ และเอเชีย 80 เซนต์ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก 48 ชั่วโมงหลังการประชุมประจำเดือนของ OPEC+ สิ้นสุดลง นายโมฮัมหมัด บาร์คินโด เลขานุการของกลุ่ม OPEC กล่าวว่าหากยังไม่สามารถหยุดยั้งขาลงในตลาดน้ำมันได้ ก็อาจจำเป็นต้องกลับไปใช้วิธีลดกำลังการผลิตน้ำมัน
“เรา (กลุ่ม OPEC) จำเป็นต้องดำเนินการในวิธีที่ดีที่สุดเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมันเอาไว้” โมฮัมหมัด บาร์คินโด เลขานุการของกลุ่ม OPEC กล่าว คำพูดของท่านเลขานุการหมายความว่าถ้าหากตลาดน้ำมันยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นมาได้ภายในเดือนมกราคมปีหน้า กลุ่ม OPEC+ อาจต้องตัดสินใจลดกำลังการผลิตจาก 400,000 บาร์เรลต่อวันในปัจจุบันลง
ในสายตาของนักวิเคราะห์ คำพูดของท่านเลขานุการฯ ถือเป็นสิ่งที่ไม่ตรงกับผลการประชุมของกลุ่ม OPEC+ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถึงแม้ว่า OPEC จะชอบทำเช่นนี้ประจำ แต่นักวิเคราะห์ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสิ่งที่คนระดับสูงของกลุ่ม OPEC ออกมาพูดหลังการประชุมประจำเดือน มักจะไม่ตรงกับผลการประชุมฯ
สิ่งที่ทำให้ตลาดลงทุนประหลาดใจกับคำพูดครั้งนี้ของโมฮัมหมัดเป็นเพราะข้อมูลนั้นไม่ตรงกันกับรายงานจากรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ ในรายงานดังกล่าวที่ออกมาก่อนการประชุมระบุว่า OPEC+ คาดการณ์ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนมกราคมขึ้นเป็น 2 ล้านบาร์เรล และในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 ล้านบาร์เรล และ 3.8 ล้านบาร์เรลตามลำดับ
นอกจากนี้ กลุ่ม OPEC+ ยังมีน้ำมันสำรองอยู่ทั้งหมดอีก 5 ล้านบาร์เรลเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน จากข้อมูลนี้ แทบไม่มีความจำเป็นเลยที่กลุ่ม OPEC จะต้องใช้กลยุทธ์ดึงน้ำมันสำรองออกมาทุบตลาดน้ำมันลง จอห์น คิลดัฟฟ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งของ Again Capital วิเคราะห์ว่า
“การเล่นเกมการเมือง กลับคำพูดไปมาของกลุ่ม OPEC จะส่งผลทำให้ตลาดน้ำมันผันผวนในสัปดาห์นี้ และอนาคตอันใกล้ นอกจากท่าทีของกลุ่ม OPEC ความรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุป นั่นยิ่งทำให้ตลาดลงทุนตัดสินได้ยากว่าควรทำอย่างไรกับการลงทุนในเดือนสุดท้ายของปี 2021”
สถานการณ์การระบาดของโควิดสายพันธุ์ “โอมิครอน” ในปัจจุบัน
นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาประกาศพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนรายแรกในวันที่ 30 พฤศจิกายน ตอนนี้ใน 50 รัฐคาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อคิดเป็นหนึ่งในสามของจำนวนประชากร นอกจากนี้ ประเทศทั่วโลกมากกว่าครึ่งก็ได้ประกาศพบผู้ติดเชื้อโอมิครอนแล้ว จนถึงตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าโอมิครอนนั้นมีความรุนแรงมากกว่าหรือน้อยกว่าสายพันธุ์ที่มีอยู่เดิม
ถึงแม้จะมีความกังวล แต่ราคาน้ำมันดิบเมื่อวานนี้ในช่วงบ่ายก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะเลเหนือ ณ ตลาดลอนดอนปรับตัวขึ้น 2.3% คิดเป็น $1.62 ต่อบาร์เรล แต่ผลงานในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ได้ปรับตัวลดลง 4% และ 18% ในกรอบเวลาหกเดือนล่าสุด ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมัน WTI ได้ปรับตัวขึ้น 2.5% คิดเป็น $1.68 ต่อบาร์เรล สัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลง 4% และ 18% ในกรอบเวลาหกเดือนล่าสุด
Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์เจ้าประจำจาก skcharting.com วิเคราะห์ว่า
“สัปดาห์นี้มีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบ WTI จะลงต่อ แต่จะไม่เกินโซนแนวรับ $65-$62 ต่อบาร์เรล โดยมีโซนแนวรับรองรับอีกชั้นอยู่ที่ $56.90 - $52.90 ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเส้นค่าเฉลี่ย SMA 100 สัปดาห์จะสามารถรับเอาไว้ได้หรือไม่ ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าโซนปรับกลับเป็นขาขึ้นจะอยู่ไม่เกิน $62-$57 ต่อบาร์เรล เพราะถึงอย่างไร แนวโน้มในตอนนี้ก็ยังคงเป็นขาขึ้น แต่ถ้าจะให้กับมาเป็นขาขึ้นเต็มตัว ราคาน้ำมันดิบ WTI ต้องสามารถขึ้นยืนเหนือ $70 ต่อบาร์เรลให้ได้ก่อน”
ทองคำยังคงทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์สำรองปลอดภัยในสภาวะที่ไม่มีอะไรชัดเจน
สำหรับทองคำ การระบาดของโอมิครอนกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าโลหะสีทองยังมีมูลค่ายืนเหนือ $1,700 ได้ คำอธิบายว่าทำไมทองคำถึงนิ่งเงียบทั้งๆ ที่ทุกตลาดผันผวนจากโอมิครอนเป็นเพราะทองคำถูกทุบลงมาด้วยถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีต่อสภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในแถลงการณ์นั้นเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดได้แสดงสิ่งที่เป็นภัยคุกคามกับทองคำมากกว่าเมื่อเขาพูดว่าอาจร่นระยะเวลาการปรับลด QE ให้จบเร็วขึ้น เพิ่มความเป็นได้ที่อาจเกิดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2022 เร็วขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้ว่าประธานเฟดจะประกาศแผนรับมือกับเงินเฟ้อเอาไว้แล้ว แต่ความกังวลที่มีต่อโอมิครอน ทั้งในเชิงผลกระทบและการระบาดทั่วโลก ก็ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะถือครองทองคำเอาไว้ให้อุ่นใจ นั่นจึงทำให้ทองคำยังสามารถยืนเหนือ $1,700 ได้ ในช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ ราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่จะส่งมอบให้เดือนกุมภาพันธ์ได้ปรับตัวขึ้น 0.04% คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 65 เซนต์ มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $1,784.55 ต่อออนซ์
Dixit วิเคราะห์ว่า ทองคำต้องสามารถยืนเหนือ $1,810 ให้ได้ก่อน จึงจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $1,825 แต่ถ้าหลุดแนวรับ $1,780 ลงมา มีโอกาสที่จะได้เห็นแนวรับ $1,750 และ $1,735