ถึงแม้ว่าโลกเราจะเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดและสภาวะเงินเฟ้อ แต่ปี 2021 ก็ยังคงเป็นปีทองของตลาดหุ้นสหรัฐฯ สังเกตได้จากดัชนีหลักทั้งสามไม่ว่าจะเป็นดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500 และแนสแด็กต่างก็สามารถปรับตัวขึ้นได้ตัวละ 21% 24% และ 26% ตามลำดับ
แน่นอนว่าไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่สามารถสร้างแนวโน้มขาขึ้นได้ เช่นเดียวกันกับกองทุน ETF แม้ว่าในปีนี้ จะมีการปรับตัวลดลง แต่ในบทความนี้ เราจะพาไปดูกองทุนที่เคยติดลบมาก่อน แต่สามารถพลิกกลับขึ้นมาได้ และคาดว่าจะสามารถไปได้ไกลกว่าปัจจุบันจนกว่าจะถึงสิ้นปี 2021
1. Invesco Solar ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $93.46
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $67.69 - $125.98
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.11%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.69% ต่อปี
ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ที่พึ่งผ่านมาไม่นาน ได้มีการพูดถึงประเด็นพลังงานทางเลือกเป็นอย่างมาก ข้อมูลจากการประชุมระบุว่าตลาดพลังงานแสงอาทิตย์อาจเติบโตขึ้นจาก $170,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020 กลายเป็น $293,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2028 คิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ประมาณ 8%
นั่นจึงเป็นที่มาของกองทุนแรกที่เราอยากจะนำเสนอในวันนี้ Invesco Solar ETF (NYSE:TAN) เป็นกองทุนที่ลงทุนในอุตสาหกรรมผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับสร้างพลังงงานแสงอาทิตย์ กองทุนนี้เปิดให้เริ่มลงทุนครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2008 อ้างอิงราคามาจากดัชนี MAC Global Solar Energy Index ปัจจุบันถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 53 ตัว และมีการรีบาลานซ์ของกองทุนในทุกๆ ไตรมาส
เมื่อพิจารณาการถือครองหุ้นของ TAN สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภท แบบแรกคือการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานในแต่ละประเทศ เราพบว่าสัดส่วนการถือครองมากกว่าครึ่งนั้นเป็นหุ้นของบริษัทในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยประเทศจีน 17.11% สเปน 5.98% อิสราเอล 3.44% ไต้หวัน 3.39% และเยอรมัน 3.36% แต่หากแยกเป็นสัดส่วนตามกลุ่มหุ้น จะพบว่า TAN ถือครองหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อข้อมูลข่าวสาร 58.25% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 20.82% และกลุ่มอุตสาหกรรม 16.25%
หุ้นสิบอันดับแรกของบริษัทคิดเป็น 61% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $3,880 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Enphase Energy (NASDAQ:ENPH) SolarEdge Technologies (NASDAQ:SEDG) Sunrun (NASDAQ:RUN) First Solar (NASDAQ:FSLR) และ Xinyi Solar Holdings (HK:0968)
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ระดับราคาของ TAN เคยปรับตัวลดลงมามากกว่า 7% แต่ในระยะเวลาสิบสองเดือนล่าสุด ยังสามารถมอบผลตอบแทนคือแก่ผู้ถือครองได้ 22.5% สร้างจุดสูงสุดในรอบหลายไปไปเมื่อเดือนมกราคม ก่อนที่จะปรับตัวลดลง
ปัจจุบัน TAN มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 33.53x และ 4.27x ตามลำดับ หากต้องการเข้าซื้อกองทุนนี้ ควรรอให้ราคาย่อตัวลงมาก่อนที่ $93 จึงจะเป็นจุดเข้าที่เหมาะสม
2. Global X Social Media ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $58.38
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $55.33 - $79.00
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.65% ต่อปี
เชื่อว่าทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า “โซเชียลมีเดีย” อีกต่อไปแล้ว ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา การเติบโตของธุรกิจโซเชียลมีเดียต้องใช้คำว่า “มีการก้าวกระโดดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” และได้กลายเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการติดต่อสื่อสารของมนุษยชาติ มูลค่าที่บริษัทเอกชนและรัฐบาลลงทุนไปกับการโฆษณาผ่านสื่อโซเชียลมีเดียในปี 2021 คาดว่าจะมีตัวเลขเกือบถึง $154,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ข้อมูลจาก IBISWorld ระบุว่า
“หากวัดขนาดของตลาดโซเชียลมีเดียด้วยตัวเลขรายได้ของบริษัทผู้ผลิต จะพบว่าในปี 2021 อุตสาหกรรมนี้มีมูลค่ารวมแล้วอยู่ที่ $62,500 ล้านเหรียญสหรัฐ”
แน่นอนว่ากองทุนที่สองที่เราจะแนะนำในบทความนี้ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดีย กองทุนนี้มีขื่อว่า Global X Social Media ETF (NASDAQ:SOCL) เป็นกองทุนที่ลงทุนกับบริษัทผู้สร้างสื่อโซเชียลมีเดีย เปิดให้เริ่มต้นลงทุนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2011 มีสินทรัพย์รวมแล้วทั้งสิ้น $379.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบัน SOCL ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 43 บริษัท อ้างอิงราคาจากดัชนี Solactive Social Media Total Return Index เมื่อพิจารณาการถือครองหุ้นของ SOCL สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภท แบบแรกคือการลงทุนในบริษัทผู้สร้างสื่อโซเชียลมีเดียในแต่ละประเทศ เราพบว่าสัดส่วนการถือครองมากกว่าครึ่งนั้นเป็นหุ้นของบริษัทในสหรัฐอเมริกามากกว่า 44% ตามมาด้วยประเทศจีน 29% เกาหลีใต้ 10.2% ลักเซมเบิร์ก 5.7% และเนเธอร์แลนด์ 5.3% แต่หากแยกเป็นสัดส่วนตามกลุ่มหุ้น จะพบว่า SOCL ถือครองหุ้นในกลุ่มผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร 92.8% ไอที 6% และสินค้าฟุ่มเฟือย 1.2%
หุ้นสิบอันดับแรกของบริษัทคิดเป็น 64% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของกองทุน หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Meta Platforms (NASDAQ:FB) (ที่เคยใช้ชื่อในอดีตว่าเฟสบุ๊ก) และบริษัท Tencent Holdings (OTC:TCEHY) มีสัดส่วนมากที่สุดคิดเป็น 10.80% และ 10.37% ตามลำดับ นอกจากนี้ก็จะมี Snap (NYSE:SNAP) NetEase (NASDAQ:NTES) และ Yandex (NASDAQ:YNDX)
ตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบัน SOCL ปรับตัวลดลงมามากกว่า 4.5% มอบผลตอบแทนคือแก่ผู้ถือครอง 5.5% ตลอดระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 32.35x และ 3.82x ตามลำดับ หากต้องการพิจารณาลงทุนใน SOCL ควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงมาถึง $57 จึงจะเป็นจุดเข้าที่เหมาะสม