Blue Ocean คือ น่านน้ำสีน้ำเงิน โอกาสทางธุรกิจ เช่น โลกในยุคดิจิตอล
Rubik คือ การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
Blue (Ocean) + (Ru) Bik จึงกลายเป็นที่มาของ Bluebik บริษัท Digital Consult สัญชาติไทย ใช้ชื่อย่อว่า “BBIK”
และจะเข้าตลาดวันที่ 16 กันยายนนี้ วิตามินหุ้นอยากจะเล่าให้ฟังกันครับว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ
1️. BBIK = Digital Transformation Consulting Firm
เราอาจจะคุ้นชื่อบริษัทระดับโลกอย่าง Boston Consulting Group, McKinsey, Accenture ที่เน้นให้คำปรึกษากลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่ค่าตัวก็แพงระดับโลกเช่นเดียวกัน ในอีกมุมหนึ่งก็จะมีบริษัทที่ขาย software บริษัทที่รับเหมาวางระบบ ก็จะเน้นการทำภาคปฏิบัติไป
BBIK มองเห็นช่องว่างตรงนี้ เพราะผู้บริหารหลายคนก็มาจาก Consulting Firm ที่กล่าวถึง คุณพชร CEO เก่งเรื่องธุรกิจ คุณปกรณ์ CTO เก่งเรื่องเทคโนโลยี เลยออกมาตั้งบริษัทร่วมกันทำตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของบริษัท หาโอกาสในการเติบโต เข้าไปดูแลการปรับโครงสร้าง เอาเทคโนโลยี เอา software มาใส่ ทำ application ให้ จนเสร็จสมบูรณ์ และคิดในราคาที่ถูกกว่าบริษัทต่างชาติ (เพราะเรื่องค่าตัว และไม่ต้องส่งเงินกลับบริษัทแม่)
2️. ธุรกิจ 4 ประเภท แต่รายได้หลักอยู่ที่ Digital
เพื่อให้เห็นภาพชัดเรามาดูรายได้ 1H ปี 2564 กัน
เริ่มต้นด้วยการเข้าไปคุยกับลูกค้าที่ส่วนมากเป็นบริษัทใหญ่ใน SET50, SET100 ธุรกิจประเภทแรกคือ ให้คำปรึกษา ดูภาพใหญ่ เจาะปัญหา ดูจุดแข็งจุดอ่อน เรียกง่ายๆ ว่าเป็นที่ปรึกษากลยุทธ์ งานส่วนนี้สัดส่วนรายได้ 21%
ต่อมาถ้าลูกค้าอยากให้เข้ามาวางแผนต่อ ทำเป็นโปรเจ็คท์ให้เกิด ติดต่อประสานงาน ทำระบบขึ้นมา ก็จะเป็นงานที่เรียกว่า ธุรกิจการบริหารโครงการเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic PMO) รายได้ 2.5% (ก่อนหน้านี้งานตรงนี้เยอะมาก สัดส่วนรายได้เคยมากถึง 85% แต่พอดีโปรเจ็คท์จบไป และหลายบริษัทช่วง COVID ลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ปีนี้)
ทีนี้ถ้าจะมีแค่ที่ปรึกษา โครงการต่างๆ มันก็จะดูลอยๆ สร้างรายได้กับลูกค้าไม่ได้ จึงต้องทำให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง จึงมีธุรกิจการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery) สัดส่วนรายได้ 64% อาจจะมีการเขียน code ทำ software ทำ application ให้ใช้งานได้ เป็นต้น
Big Data, AI เป็นธุรกิจที่เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์หาโอกาสในการสร้างยอดขายโดยใช้ AI เข้ามาช่วย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น TQM, OR ก็เป็นลูกค้า BBIK ก็จะวิเคราะห์คนที่เข้ามาเติมน้ำมัน คนเข้าร้านกาแฟต่างๆ สัดส่วนรายได้ 12%
3️. รายได้และกำไร New High ต่อเนื่อง
ปี 2561 รายได้ 133 ล้านบาท กำไรสุทธิ 19 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 185 ล้านบาท กำไรสุทธิ 32 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 200 ล้านบาท กำไรสุทธิ 44 ล้านบาท
1H’63 รายได้ 91 ล้านบาท กำไรสุทธิ 26 ล้านบาท
1H’64 รายได้ 127 ล้านบาท กำไรสุทธิ 30 ล้านบาท
เพราะบริษัทเพิ่งเปิดมา 8 ปี สเกลของรายได้และกำไรจึงไม่ใหญ่มาก แค่ 200 ล้านบาท แต่ถ้าดูการเติบโตถือว่าทำได้ดีมาก เติบโตแบบก้าวกระโดดทุกปี
4️. อัตรากำไรสูงกว่าคู่แข่ง
ปี 2561 GPM 28.1% NPM 14.3%
ปี 2562 GPM 42.2% NPM 16.5%
ปี 2563 GPM 64.1% NPM 22.1%
1H’63 GPM 67.5% NPM 28.9%
1H’64 GPM 63.6% NPM 23.7%
GPM ช่วงแรกๆ ไม่สูงนัก แต่มาเร่งตัวช่วงหลัง ทำได้ดีมาก ระดับ 64-65% และ NPM 22-24% เพราะว่าช่วงต้นๆ มีการใช้ที่ปรึกษาภายนอกเข้ามาช่วย บางปีมีงานดีเลย์บ้าง บางปีมีงานมาร์จิ้นดีอย่าง Digital หรือรับพนักงานเพิ่มบ้าง แต่ตอนนี้เริ่มรักษามาร์จิ้นได้ดี
5️. รายได้เป็น Project Base พึ่งพาลูกค้ารายใหญ่
ถ้าเรามาดูในรายละเอียดของลูกค้า เราอาจจะมีความกังวลใจอยู่บ้าง เพราะ
ปี 2561-2562 ลูกค้า 70-90% อยู่ในกลุ่มธนาคาร มีการใช้งาน Strategic PMO เยอะ
ปี 2563- 2564 ลูกค้า 50-52% เป็นลูกค้าประกันภัย มีการใช้งาน Digital เยอะ และลูกค้าธนาคารลดเหลือ 20% เพราะงานโปรเจ็คท์จบลง
ถ้าจะให้เห็นภาพชัด เรามาดูสัดส่วนรายได้จากลูกค้ารายใหญ่กัน
ปี 2561 ธนาคารแห่งหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 86%
ปี 2562 ธนาคารเจ้าเดิม คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 63%
ปี 2563 ธนาคารเจ้าเดิม รายได้เหลือ 6% เพราะงานจบไปเยอะแล้ว แต่ได้งานใหญ่จากลูกค้าประกันเจ้าหนึ่งคิดเป็น 38%
ปี 2564 ลูกค้าประกันรายนั้น มีงานต่อเนื่อง สัดส่วนรายได้ คิดเป็น 40% ขณะที่ธนาคารกลับมาเพิ่มเป็น 13% (อาจจะมีงาน big data, งาน maintenance เพิ่มเติม)
นั่นแปลว่า BBIK พึ่งพาลูกค้ารายใหญ่พอสมควร ที่ผ่านมามี ลูกค้าธนาคารและประกันเข้ามาต่อกันพอดี รายได้เลยโตได้ต่อเนื่อง และจะเห็นว่างานแต่ละเจ้า กินเวลาประมาณ 2 ปี ขึ้นกับสเกลของลูกค้าด้วย และอาจจะมีรายได้ recurring income ไม่เยอะ (ต่างกับ iiG, Human) ทำให้เราเห็นภาพ ความเสี่ยง คือ ถ้าหาลูกค้าไม่ได้ รายได้จะไม่มา
6️. Backlog 161.4 ล้านบาท รับรู้รายได้ถึงปีหน้า
จบ Q2’64 มี backlog จากลูกค้า 28 โครงการ 17 บริษัท ดังนี้
Consult 7 โครงการ 7 บริษัท มูลค่า 43.5 ล้านบาท
Strategic PMO 2 โครงการ 2 บริษัท มูลค่า 23.8 ล้านบาท
Digital 9 โครงการ 8 บริษัท มูลค่า 51.9 ล้านบาท
Big Data 10 โครงการ 8 บริษัท มูลค่า 42.1 ล้านบาท
ตัวเลข backlog นี้บอกเราว่า BBIK มีโครงการเยอะ แต่ถ้าคิดเฉลี่ยแล้วรายได้แค่ 5.8 ล้านบาท ต่อโครงการเท่านั้น
งาน Digital Excellence 52 ล้านบาท นั้นรับรู้หมดปีนี้ ก็คงรวมของลูกค้าประกันรายหลักเข้าไปด้วย แปลได้ว่า ปีนี้รายได้ กำไรน่าจะโตแน่นอน แต่ว่าปีหน้าต้องรีบหาลูกค้าใหญ่มาเติมให้ทัน
7️. Connection ระดับประเทศ
ถ้าเราไปดูรายชื่อบอร์ดบริหาร เราจะเห็นชื่อ พี่โจ้ ธนา คุณหนุ่ย แบไต๋ คุณชลากรณ์ Workpoint คุณครรชิต เป็นกรรมการ CRC, KCE ก็เชื่อว่า ด้วย connection แบบนี้ก็น่าจะต่อยอดแนะนำต่อๆ กันหางานมาเพิ่มได้ และงานส่วนมากหรือแทบจะทั้งหมดเป็นภาคเอกชน รวมทั้งการที่เข้ามาอยู่ในตลาดหุ้น ก็จะเป็นที่รู้จักของบริษัทอีกมากมาย ก็น่าจะช่วยเรื่องงานได้มากขึ้น
8️. OR + BBIK = ORBIT
OR เป็นลูกค้าอยู่แล้ว มาจับมือกันตั้งบริษัท ORBIT โดยให้ BBIK ถือหุ้น 60% OR ถือ 40% คิดว่าคงเห็นการต่อยอด และใช้ข้อมูลลูกค้าทั้ง Blue Card, Café Amazon ร้านอาหารต่างๆ ในเครือ ได้อีกเยอะ รายได้น่าจะเริ่มเห็น Q4 ปีนี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย แต่ต้องตามดูกันว่าจะมากน้อยแค่ไหน
9️. ได้เงิน IPO 431 ล้านบาท ต่อยอดธุรกิจ
135 ล้านบาท ลงทุนธุรกิจอื่น เพราะลูกค้าหลักเป็นบริษัทใหญ่ SET50, SET100 เป็นไปได้ว่า จะเห็นการทำ M&A, JV บริษัทกลาง เล็ก เพื่อให้พอร์ตครบ
67 ล้านบาท จ้างพนักงานเพิ่ม ตอนนี้มี 133 คน แต่วางแผนขยายงานอีกเยอะ จะจ้างเพิ่ม 50 คน ตรงนี้ก็ต้องตามดูกันเพราะว่าค่าตัว consult เงินเดือนไม่ถูก
67 ล้านบาท พัฒนา software ของตัวเอง เพื่อจะได้รองรับลูกค้ารายเล็ก SME ได้มากขึ้น
45 ล้านบาท ขยายออฟฟิศ ตอนนี้ออฟฟิศอยู่อาคารอารยะทรัพย์ ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ พื้นที่ 520 ตารางเมตร ไม่น่าจะรองรับพนักงานที่จะเข้ามาเพิ่มได้พอ
10.IPO 18 บาท 25 ล้านหุ้น P/E 37.5 เท่า
จำนวนหุ้นที่มาขาย IPO แค่ 25 ล้านหุ้นเอง เรียกได้ว่า เบาหวิว เปิดตลาดพรุ่งนี้น่าสนใจว่าราคาจะเป็นอย่างไร
ส่วนราคาจอง 18 บาท คิดเป็น P/E ย้อนหลัง 37.5 เท่า แปลว่า บริษัทต้องเติบโตเท่านั้น ถึงจะคุ้มค่าคุ้มราคา
โดยสรุป BBIK เป็น Digital Consult ที่ผู้บริหารเก่ง profile ดี กรรมการบอร์ดเป็นที่รู้จักในภาคเอกชนเป็นอย่างดี รายได้ กำไรโตมาตลอด ปัญหาเดียวที่ต้องตอบ คือ รายได้เป็น project base ขึ้นกับไม่กี่บริษัทใหญ่ recurring income น้อย การเติบโตจะต่อเนื่องได้แค่ไหน และคุ้มค่ากับราคาหรือไม่
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins - วิตามินหุ้น