พัฒนาการเชิงบวกของ Covid-19 ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่สดลง สวนทางกับผู้ป่วยที่กลับบ้านซึ่งอยู่ในระดับสูง, แผนการจัดหา Vaccine ที่คาดว่าจะมีเข้ามาเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ เหลือของปี และที่สำคัญคือท่าทีของรัฐที่ถูกคาดหมายว่าจะไม่เห็นมาตรการ ควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้นไปอีก แต่จะเห็นภาพของการที่ค่อยๆ ผ่อน คลาย ซึ่งเป็นผลดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ภาวะดังกล่าวถือได้ว่าระดับความ เสี่ยงในการลงทุนลดลง แต่ในอีกมุมหนึ่งพบว่าระดับผลตอบแทนชดเชยความ เสี่ยง (Market Risk Premium) ซึ่งเราวัดผ่านตัวเลข Market Earning Yield Gap กลับกว้างถึง 4% เชื่อว่าจะทำให้เห็นเม็ดเงินไหลเข้าตลาดฯ เพิ่ม SET Index น่าจะมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1643 จุด แต่อาจต้องใช้เวลาและมี การ Take Profit สลับเป็นช่วงๆ พอร์ตจำลองวันนี้ไม่มีการปรับโดยปัจจุบัน ระดับเงินสดเป็น 0% หุ้น Top Pick เลือก JMT, M และ TOP
ตลาดหุ้นโลกยังไปต่อ…. แต่ยังไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ รอตัวเลขแรงงานสหรัฐวันศุกร์ ต่างประเทศยังไม่มีประเด็นอะไรใหม่ หลังจากตลาดหุ้นโลกและสินทรัพย์เสี่ยงยังคง ตอบรับเชิงบวกกับ ประธาน Fed นาย Powell ที่งานประชุม Jackson hole เผยว่า จะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย แม้จะประกาศชัดว่าเตรียมเริ่ม QE Tapering ก่อนสิ้นปี 2564 (แต่ยังไม่มีความชัดเจนจะลดรอบไหน วงเงินที่ลดลงต่อเดือน ??) หนุนตลาดหุ้นสหรัฐ อาทิ ดัชนี Nasdaq และ S&P ยังคงทำ New high ต่อ เช่นเดียวกับฝั่งยุโรป เมื่อวาน ปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกตลาด อีกฝั่งหนึ่งคือ Bond Yields สหรัฐ อายุสั้น และยาว ยังคงปรับลงต่อ และ Dollar index ยังทรงตัวอ่อนค่า อยู่ที่ 92.6 จุด และ ค่าเงินบาท ดอลลาร์แข็งค่าติดต่อกัน 7 วันติด หนุน Flow ไหลเข้าเอเซียรวมถึงไทย เป็นผลดีต่อ ทิศทาง SET Index ในวันนี้ โดย Dollar index ที่อ่อนค่ายังหนุนราคา Commodity ต่อ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ เมื่อวานนนี้ยังขึ้นต่ออีก 1% ปัจจัยหนุนยังคงมาจาก พายุดีเปรสชั่น IDA (อ่อนแรงลง จากเฮอริเคน) ที่ทำให้ Supply หายไป ผลกระทบคือ 1.) ประชาชนสหรัฐ 3 แสน หลังคาเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ มีการปิดทั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก โดยรวมตลอด ทั้งสัปดาห์น่าจะยังเผชิญปัญหาต่อ ฝ่ายวิจัยประเมินทิศทางราคาน้ำมันดิบ ที่ยังมี กระแสบวก คาด Sentiment เชิงบวกและแนะนำเก็งกำไร Trading ต่อหุ้นน้ำมัน อาทิ PTT (BK:PTT) (Buy: FV@B48.5) และ PTTEP (Buy: FV@B144) และ หุ้นโรงกลั่น TOP (FV@B55), IRPC (Switch: 3.9)
COVID-19 ผ่อนคลาย, วัคซีนเดินหน้า, เปิดเมืองมาพร้อม หนุนหุ้นไทย
ASPS คาดว่า Momentum ที่จะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นต่อ พร้อมกับช่วย จำกัด Downside ของเศรษฐกิจไทยมีอยู่ จากปัจจัยแวดล้อมที่มีทิศทางดีขึ้น
1. การระบาดของ COVID-19 ในไทยมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงต่อเนื่อง ข้อมูลล่าสุดวันที่ 31 ส.ค. 2564 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,666 ราย แตะระดับต่ำกว่า 1.5 หมื่นรายเป็นครั้งแรกในรอบ 1 เดือน 1 สัปดาห์ และ น้อยจำนวนผู้รักษาหายที่ 19,245 ราย
2. ความคืบหน้าการจัดหาวัคซีน มีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวานนี้ ที่ประชุม ครม. อนุมัติซื้อ วัคซีน Pfizer อีก 10 ล้านโดส วงเงิน 4,745 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2564 ไทยจะมี วัคซีนของ Pfizer รวม 30 ล้านโดส และถ้ารวมกับวัคซีนชนิดอื่นๆที่รัฐจัดหาให้ (ไม่นับ วัคซีนทางเลือก) จะมีราว 110 ล้านโดส (AstraZeneca 61 ล้าน, Sinovac 19 ล้าน และ Pfizer 30 ล้าน) จำนวนวัคซีนที่มีมากขึ้น ส่งผลให้การฉีดวัคซีนของไทยเร็วขึ้นตาม และช่วยให้การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่มีโอกาสเกิดได้ขึ้นได้ภายในปี 2564 นี้ ซึ่งจะเสริมให้ กิจกรรมเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะถัดไป
3. การผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจ ภาครัฐออกคำสั่งอนุญาตให้ผ่อนคลายกิจกรรมทาง เศรษฐกิจต่างๆ ในวันที่ 1 ก.ย. 2564 เป็นต้นไป เช่น • นั่งทานอาหารในร้านได้ 50% (ปรับอากาศ) หรือ 75% (ไม่ปรับอากาศ) • ห้างสรรพสินค้า-ศูนย์การค้าเปิดได้ทุกแผนก • ร้านตัดผม ร้านนวด (เฉพาะเท้า) สวนสาธารณะ สถานออกกำลังกาย สามารถ เปิดได้ • เปิดบินในประเทศได้ โดยมีมาตรการคัดกรองผู้โดยสาร และในลำดับต่อไป ASPS คาดว่าภาครัฐจะเดินหน้าคลายกิจกรรมเศรษฐกิจอื่นๆต่อ เช่น • 15 ก.ย. 2564: ร้านอาหารนั่งทาน 75%, ธุรกิจเครื่องแต่งกาย, สถานศึกษา • 30 ก.ย. 2564: ร้านอาหารนั่งทาน 100%, สปา, สถานออกกำลังกาย, โรงภาพยนตร์ การผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆข้างต้น คาดเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจไทย ฟื้นตัวกลับมา และบวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอยู่ใน Theme เปิดเมืองต่อ
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities