Growth still outperform Growth vs. Value: ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนสําหรับเดือนก.ค. เรายังคง เห็นพัฒนาการที่ดีของหุ้นกลุ่ม Growth โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น กลุ่ม Growth นี้สามารถปรับตัว Outperform หุ้นกลุ่ม Value ได้ราว 20 MTD (รูปที่ 1) สอดคล้องกับธีมการลงทุนหลักของเราเดือนนี้ที่เน้น Stick ไปกับหุ้นกลุ่ม Growth ที่มีความน่าสนใจในระยะสั้นมากกว่าจาก 1) การทนทาน/ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ Covid-19 ทั่วโลกที่รุนแรงมากขึ้น
2) ได้เปรียบในสภาวะที่ Bond yield และความชัน Yield curve อยู่ในระดับต่ำ
3) เป็นกลุ่มที่คาดหวังในเชิงบวกได้ กับ Earrings ไตรมาส 2-3 ที่กําลังจะประกาศออกมา
ทั้งนี้ สําหรับหุ้น Growth 3 กลุ่มที่เราเลือกมาในเดือนนี้ ไม่ว่าจะ เป็น 1) กลุ่มส่งออก ได้แก่ KCE, TFG, ASIAN, SUN, XO 2) กลุ่ม Logistics ได้แก่ LEO, WICE, SONIC และ 3) กลุ่มบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ SCGP, SFT, SFLEX, UTP พบว่ามีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทน ล่าสุดอยู่ที่ -1.0% ตึกว่า SET Index ที่ -2.4% แนะถือครองหุ้นในกลุ่ม ดังกล่าวต่อไป แต่หากผู้ที่ต้องการเพิ่มน้ําหนักใหม่ในช่วงนี้ มองไปยังตัวที่ Laggard ในแต่ละกลุ่มจะมีความปลอดภัยมากกว่า ซึ่งจากการจัดอันดับ ของเราพบว่าด้วที่ Laggard มากที่สุดในแต่ละกลุ่มจะได้แก่ SUN ในกลุ่ม ส่งออก WICE ในกลุ่ม Logistics และ SFT ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น SET: ในส่วนของภาพ SET Index นั้น ประเมินยังคงอยู่ในโหมดของ การสร้างฐานและคาดว่าจะปรับตัวรีบาวดได้ในช่วงที่เหลือของเดือน นี้ ยังคงมองกรอบการแกว่งตัวระยะสั้นที่ 1530-1590 จุด ซึ่ง Imply ระดับ Upside ที่เป็นต่อ Downside ในปัจจุบัน โดยปัจจัยที่ทําให้เรา ยังคงสบายใจต่อดัชนีก็คือ
1) ประมาณการ EPs ปี 2022E ที่ยังคงยืนได้อย่างแข็งแกร่ง โดยล่าสุดอยู่ที่ 96.2 บาท สูงกว่าตัวเลขสมมติฐานของเราที่ใช้ในการศานวณระดับยุติธรรม 1600 จุดของ SET ที่ 95.5 บาทอยู่
2) Earning yield gap ของ SET Index ที่ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 4.80 ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 4.3% อยู่พอประมาณ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นมี ความน่าสนใจกว่าตลาดตราสารหนี้ รอเพียงแต่จังหวะเวลาที่ Sentiment แวดล้อมปรับตัวดีขึ้นเท่านั้น ก็น่าจะทําให้กลับมาเห็นการ โยกย้ายของเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้นได้ ทั้งนี้ เรามีการคิดกลับใน โมเดลพบว่า หากดัชนี SET จะยืนอยู่ที่ระดับ 1550 จุดไม่ไปไหน Bond yield สหรัฐฯ 10 ปีจะต้องขึ้นไปถึงประมาณเกือบ 2%% ซึ่งมองว่า เป็นไปได้ยากมากๆในระยะสั้น ในสภาวะที่ตลาดยังไม่ได้มีการ Price in ประเด็น QE Tapering เข้ามา และเราก็ไม่คิดว่าจะมีการส่ง สัญญาณดังกล่าวออกมาในเร็วๆนี้ด้วย จากสถานการณ์ Covid-19 ทั่วโลกที่ยังคงรุนแรงอยู่ U.S, CPI: ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่เป็นกังวลต่อปัจจัยเงินเฟ้อในระยะสั้นแต่ อย่างใด โดยเฉพาะตัวเลข CPI ของสหรัฐฯที่จะออกมาในคืนนี้ ต่อให้มีการ ออกมา Surprise ตลาดในเชิงบวกและทําให้ Bond ield 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ 1.37% ก็น่าจะยังคงห่างไกลจากระดับที่น่า กังวลที่ 2% อยู่
PTTGC: คงคําแนะนํา "ซื้อ" ในเชิงพื้นฐานที่ราคาเป้าหมาย 80 บาท ราคาหุ่นวานนี้ ปรับตัวลงแรงจากความกังวลต่อการเพิ่มทุน ภายหลังบริษัทประกาศเข้าซื้อ Allnex ซึ่งเป็น บริษัทที่ทําธุรกิจ Rasin Coating โดยมีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 1.4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ เรามี มุมมองเชิงบวกต่อดีลดังกล่าว เนื่องจากเป็นการเพิ่มธุรกิจ Downstream ให้กับทางบริษัท ซึ่ง ธุรกิจ Coating ถือเป็นธุรกิจที่มี Margin ค่อนข้าง Stable ส่วนมูลค่าธุรกรรมนั้นคิดเป็นเพียง 9x10x ของ EBITDA ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่อยู่ประมาณ 10x-13x และยังจะช่วย เพิ่ม EBITDA Margin ให้กับทางบริษัทอีกด้วย ในส่วนของประเด็นเพิ่มทุนนั้นเราไม่กังวล เนื่องจาก ณ ขณะนี้ PTTGC มีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นรวมกันประมาณ 1 แสนล้านบาท และในช่วงไตรมาส 2 จะมีเงินที่ได้รับจากการขาย GPSC อีก 2.5 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับเงิน กู้ยืมที่ได้ทําสัญญากับ PT ราว 7.4 หมื่นล้านบาทจึงเพียงพอและสามารถกู้เพิ่มได้ เนื่องจาก Net D/E จะอยู่เพียงแค่ 0.6x เท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยจ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากเงินกู้ PT ราว 2 พันล้านบาทนั้น ก็จะถูกชดเชยได้ตัวยกําไรของ Allnex ที่ Consolidate เข้ามาปีละประมาณ 3.5 พันล้านบาทด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ราคาปัจจุบันของ PTTGC ซื้อขายด้วย EV/EBITDA ที่ 6.7 เท่า ต่ากว่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 8.3 เท่าพอสมควรแล้ว (รูปที่ 2)
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities