แข็งค่าขึ้นทันทีหลังจากที่ได้ทราบตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ขยายตัวเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ก่อนหน้านี้นายเจอโรม พาวเวลล์เคยออกมาเตือนเกี่ยวกับการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อชั่วคราวแล้ว แต่ไม่มีใครคิดว่าตัดชี้วัดเงินเฟ้ออย่าง CPI จะเพิ่มขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคแบบเดือนต่อเดือนเพิ่มขึ้น 0.8% มากกว่าตัวเลขคาดการณ์สี่เท่า ส่วนตัวเลข CPI แบบปีต่อปีนั้นออกมาอยู่ที่ 4.2% เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ 3.6% หลังจากที่ทั่วทั้งตลาดได้ทราบข้อมูลตัวเลขดังกล่าว รองประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า “รู้สึกประหลาดใจกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้” คำถามก็คือแล้วเหล่าผู้วางนโยบายคนอื่นๆ เริ่มคิดได้แล้วหรือไม่ว่าถึงเวลาที่ต้องปรับนโยบายทางการเงินให้รัดกุมมากขึ้นแล้ว
ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงทันทีหลังจากที่ทราบตัวเลข CPI เพราะนั่นหมายความว่าต้นทุนในการทำธุรกิจจะต้องมีราคาเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพราะอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นก็หมายถึงต้นทุนในการเข้าถือพันธบัตรก็จะต้องเพิ่มขึ้นตามด้วย แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยืนยันและคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าเรื่องเงินเฟ้อเร่งตัวเมื่อคืนนี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่นักลงทุนก็เป็นกังวลว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีสภาพคล่องมากเกินไปก็อาจทำให้ราคาของสินค้าทุกอย่างแพงขึ้นเกินจะทนไหว ทุกวันนี้ราคาสินค้ารอบตัวอย่างเช่นอาหาร น้ำมัน รถเช่า รถมือสองก็เริ่มปรับขึ้นจนสังเกตได้ ยิ่งราคาสินค้าอยู่สูงนานเท่าไหร่ มันก็จะกลายเป็นเรื่องปกติได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการแข็งค่าของดอลลาร์น่าจะสามารถยืดไปได้จนถึงการรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกในวันพรุ่งนี้ จากการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อและค่าจ้างโดยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสที่ข้อมูลการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นอีก 1% จากตัวเลข 9.8% ของเดือนก่อน การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐเมื่อคืนนี้ทำให้กราฟ ปรับตัวกลับขึ้นมายืนเหนือ 109 และมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 110 ได้ก่อนจบสัปดาห์ ถึงวันนี้จะมีรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) แต่เพราะความสนใจของตลาดหมดลงหลังจากทราบตัวเลข CPI แล้ว ดังนั้นข่าวที่จะมีผลต่อกราฟมากกว่าก็น่าจะเป็นการรายงานตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกหลังจากการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่น่าผิดหวัง
การเทขายหุ้นในตลาดวอลล์ สตรีทส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสกุลเงินและ สกุลเงินทั้งสองอ่อนค่าลงมากกว่า 1.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ถึงยูโรและดอลลาร์สหรัฐจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่ลดลงมาก แต่เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นสกุลเงินหลัก เมื่อมีข่าวร้ายออกมาจึงทำให้ทั้งสองสกุลเงินอ่อนไหวได้ง่าย อันที่จริงก็อ่อนค่าลงแต่ไม่มากนัก คิดเป็นการอ่อนค่าเพียง 0.2% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินอ่อนค่าลงอยู่แล้วตั้งแต่ช่วงเปิดตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมออกมาน้อยกว่าที่คาดการณ์ แม้ว่าสหราชอาณาจักรจะมีข่าวดีเรื่องวัคซีนโควิด แต่สกุลเงินก็ยังได้รับผลกระทบจากข่าวเงินเฟ้อ เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในไตรมาสแรกหดตัว 1.5% ในขณะที่ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.8% สำหรับสัปดาห์นี้ไม่มีข่าวสำคัญของยูโรโซนและสหราชอาณาจักรอีกแล้ว ดังนั้นทิศทางของกราฟจึงจะขึ้นอยู่กับข่าวเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว
