ตั้งแต่ตลาดลงทุนรับรู้แล้วว่าตำแหน่งประธานาธิบดีคนถัดไปคงตกเป็นของโจ ไบเดนอย่างแน่นอนแล้ว พฤติกรรมการลงทุนในตลาดก็เปลี่ยนไปด้วย นักลงทุนเริ่มมีการปรับพอร์ตใหม่ กระจายความมั่งคั่งออกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับแรงหนุนจากการทำงานอยู่บ้านไปสู่หุ้นวัฎจักรที่ทำกำไรได้ดีในช่วงปกติมากขึ้น
หุ้นกลุ่มหนึ่งที่มาแรงที่สุดและปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาคือพระเอกของปี 2020 นั่นคือกลุ่มบริษัทเวชภัณฑ์ที่ประกอบไปด้วยบริษัทดังๆ อย่างไฟเซอร์ (NYSE:PFE) ที่นำร่องสร้างเทรนด์ข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิด-19 พวกเขาเป็นบริษัทแรกที่ออกมาสร้างมาตรฐานด้วยตัวเลข 90% ของความสามารถต้านทานโควิดได้ดี หลังจากนั้นบริษัทชื่อดังอื่นๆ อย่างโมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) และแอซตาเซเนกา (NASDAQ:AZN) ก็ได้ออกมาบอกความสามารถในการต้านทานโควิดตามๆ กัน
ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มพลังงานคือหนึ่งในกลุ่มที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดเนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 ที่ไม่อนุญาตให้มนุษยชาติสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกเหมือนอย่างแต่ก่อน เครื่องบินถูกจอดเอาไว้เต็มสนามบินในขณะที่รถก็จอดอยู่ที่บ้านเพื่อเลี่ยงการออกไปพบปะผู้คนให้ได้มากที่สุด ปัจจัยนี้ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกันกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นมา 31% แม้แต่หุ้นในกลุ่มโทรคมนาคมตลอดทั้งปียังเติบโตได้ 19.20% มีเพียงกลุ่มพลังงานเท่านั้นที่ร่วงลงมากว่า 36%
อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์เริ่มจะดีขึ้น ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ถูกคลี่คลายไปบ้างแล้วและมีข่าวดีเกี่ยวกับความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนออกมาอย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้นักลงทุนเริ่มมีความหวังและเริ่มหันกลับมามองหุ้นเดิมที่แต่ก่อนเคยมีมูลค่าสูงลิ่วจนไม่อาจเอื่อมถึง ตอนนี้พวกเขาเห็นว่านี่คือโอกาสที่จะได้ถือครองหุ้นเหล่านั้นซึ่งรวมถึงหุ้นของบริษัทในกลุ่มพลังงานด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นคือการยอมดำเนินตามขั้นตอนเปลี่ยนผ่านนโยบายการบริหารของผู้ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไปสู่ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่นายโจ ไบเดน ข่าวดีนี้ช่วยลดความเสี่ยงลงในตลาดลงอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้โจ ไบเดนก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาเริ่มเดินหน้าหาขุนพลที่เหมาะสมมาสานฝันนโยบายตามที่เขาได้หาเสียงเอาไว้ หนึ่งในผู้ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังคนใหม่นางเจเน็ต เยลเลนก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากสังคมตั้งแต่ยังไม่ได้รับตำแหน่ง บรรยากาศที่ดูเหมือนเป็นฟ้าหลังฝนนี้ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นยืนเหนือ 30,000 จุดได้เป็นครั้งแรกและกำลังทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจกล้ากระจายหุ้นไปลงทุนในกลุ่มอื่นด้วย
เมื่อพูดถึงหุ้นในกลุ่มพลังงานแล้ว บริษัทที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในอเมริกาอย่างเอ็กซอน โมบิล (NYSE:XOM) ตลอดทั้งปีหุ้น XOM ได้รับผลกระทบจากโควิดและโดนกดต่ำมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ที่กำลังเขียนบทความอยู่ หุ้นของเอ็กซอน โมบิลดูเหมือนว่ากำลังจะสามารถสร้างขาขึ้นที่น่าเชื่อถือขึ้นมาได้หลังจากสามารถทะลุแนวต้านสำคัญ $40 ขึ้นมาปิดตลาดที่ $41.98 และกำลังมุ่งหน้าสู่ระดับราคา $44
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเห็นว่าในช่วงระหว่างปลายเดือนกันยายนมาจนถึงปลายเดือนตุลาคม หุ้น XOM ได้สร้างรูปแบบพฤติกรรมราคาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นรูปแบบหัวไหล่ด้านหงาย (Inverted Head & Shoulder) แต่หลังจากที่ได้ยินข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 มาเป็นชุด ดูเหมือนว่านักลงทุนขาขึ้นจะอดใจไม่ไหว ไม่รอให้ราคาสร้างไหล่ขวาให้สำเร็จก่อนแต่เลือกที่จะพาราคาขึ้นทะลุ $40 ไปเลย
จากการยืนเหนือ $40 ได้ในตอนนี้กลายเป็นว่าหุ้น XOM ได้มีแนวรับสำคัญอยู่สองแนวนั่นคือ $40 ที่พึ่งกลายเป็นแนวรับได้ไม่นานและมีเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่สามารถขึ้นมายืนเหนือได้อย่างเป็นทางการเมื่อคืนนี้ หากวันนี้ราคาสามารถขึ้นต่อจนทะลุผ่าน $42 ให้นักลงทุนมองแนวต้านถัดไปที่จุดสูงสุด $55 ของวันที่ 8 มิถุนายนได้เลย
เมื่อราคาสามารถขึ้นไปถึง $55 ตรงนั้นเราจะได้เห็นการสร้างพฤติกรรมราคา double top ขนาดใหญ่ที่อาจส่งให้หุ้น XOM ย่อลงมาปรับฐานเพื่อเตรียมขึ้นสู่ $100
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอให้หุ้นเอ็กซอนสามารถขึ้นยืนเหนือ $42 ได้จริงๆ จากนั้นจะรอราคาย่อกลับลงมาทดสอบแนวรับนั้นแล้วจึงวางคำสั่งซื้อ
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอเข้าที่บริเวณเดียวกับกลุ่มที่ไม่ชอบความเสี่ยงหรือไม่ก็รอราคาย่อลงมาถึง $36 ซึ่งเป็นจุดที่ควรจะเกิดไหล่ขวาเดิม
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะวางคำสั่งซื้อทันทีที่พร้อมแต่ก่อนจะเข้าซื้อ เราอยากให้เข้าใจก่อนว่าคุณต้องสามารถยอมรับความเสี่ยงกับปัจจัยภายนอกได้อย่างเช่น ยอดผู้ติดเชื้อโควิดอาจเพิ่มสูงสุดจนอยู่ในระดับอันตรายหรือทรัมป์อาจพลิกลิ้นเตะถ่วงขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านอำนาจ ฯลฯ ดังนั้นการลงทุนสำหรับผู้ที่ชอบความเสี่ยงจึงต้องมีแผนการเทรดที่รอบคอบ
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: $40
- Stop-Loss: $36
- ความเสี่ยง: $2
- เป้าหมายในการทำกำไร:$46 (จุดสูงสุดของเดือนสิงหาคม)
- ผลตอบแทน: $6
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:4