ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับนักลงทุนในตลาดน้ำมันที่ต้องเห็นการกลับมาล็อกดาวน์เกือบเต็มรูปแบบในยุโรปอีกครั้งเพราะนั่นหมายความว่าความหวังที่อุปสงค์น้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่สี่เป็นอันต้องสะดุด ที่สำคัญที่สุดคือความเสี่ยงจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอังคารหน้านี้แล้ว ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงสองปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ และจะพูดถึงปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อน้ำมันดิบต่อไปในอนาคตอันใกล้ด้วย
2 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI
1. ความผันผวนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดี
เป็นเหตุการณ์สำคัญระดับโลกที่ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือใครก็ตามต่างก็จับจ้อง อย่างที่เราเห็นมาตลอดทั้งสัปดาห์ว่านอกจากดอลลาร์สหรัฐแล้วไม่มีตลาดใดปรับตัวขึ้นเลยนั่นเป็นเพราะนักลงทุนแห่ดึงเงินออกจากตลาด หนีความผันผวนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ครั้งสุดท้ายที่การเลือกตั้งดูเหมือนว่าจะมีดราม่าหนักพอสมควรต้องย้อนกลับไปถึงปี 2000 จนสุดท้ายแล้วต้องให้ศาลสูงสุดเป็นผู้ตัดสิน จากพฤติกรรมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ผ่านมาทำให้ตลาดมีความเชื่อว่าหากเขาแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะไม่ยอมลงจากเก้าอี้ง่ายๆ ซึ่งแน่นอนว่านักลงทุนไม่ถูกใจตัวแปรความเสี่ยงที่ไม่อาจควบคุมได้เช่นนี้
2.การล็อกดาวน์ในยุโรป
การประกาศล็อกดาวน์เกือบเต็มรูปแบบในเยอรมัน และฝรั่งเศสเมื่อวันพุธที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ด้วย ผู้นำของทั้งสองประเทศจำเป็นต้องยอมเสียการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อแลกมากับสวัสดิภาพของประชาชนภายในประเทศอีกครั้งซึ่งมาตรการล็อกดาวน์ใหม่ย่อมรวมไปถึงการจำกัดการเดินทางด้วย เมื่อประเทศผู้นำแห่งยูโรโซนเริ่มมีมาตรการแล้ว ประเทศสมาชิกอื่นๆ อาจจะดำเนินนโยบายตาม
ในสัปดาห์หน้าเราจะพอประเมินความเสียหายจากมาตรการล็อกดาวน์ได้เมื่อเราเห็นว่าประชาชนในชาติมีการตอบสนองต่อมาตรการเหล่านี้อย่างไร ก่อนหน้านี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้เอาข้อมูลผู้ใช้รถบนทางด่วนในประเทศฝรั่งเศส สเปน อิตาลีและสหราชอาณาจักรมาเปรียบเทียบว่าจำนวนผู้ใช้รถยนต์ตั้งแต่วันที่ 11 - 25 ตุลาคมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้รัฐบาลจะยังไม่สั่งปิดโรงเรียนประถม และมัธยมแต่ธุรกิจนอกเหนือจากนั้นไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ ย่อมหมายความว่าปริมาณการใช้งานน้ำมันดิบต้องลดลงอย่างไม่ต้องสงสัย
3 ปัจจัยที่จะกระทบกับราคาน้ำมันดิบในอนาคตอันใกล้
1. ผลกระทบจากพายุเฮอริเคนเดลต้า และเซต้า
ผลกระทบจากพายุเฮริเคนลูกที่แล้ว “เดลต้า” ยังส่งผลมาจนถึงปัจจุบันซึ่งสามารถดูข้อมูลได้จากรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ EIA จากรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมพบว่ามีน้ำมันดิบอยู่ในคลัง 4.3 ล้านบาร์เรลโดยเหตุผลหลักๆ คือผู้ผลิตไม่สามารถกลั่นน้ำมันได้ในช่วงที่มีพายุเฮอริเคนเดลต้า ในขณะเดียวกันพายุเฮอริเคนลูกใหม่นามว่า “เซต้า” ก็ได้วิ่งผ่านอ่าวเม็กซิโกเข้ามาอีก ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้พายุลูกดังกล่าวกำลังวิ่งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองนิวออร์ลีนส์ของรัฐลุยเซียนา โชคยังดีที่พระเจ้ายังมีเมตตาอยู่บ้างเพราะจากการพยากรณ์แล้วคาดว่าพายุเซต้าจะไม่วิ่งเข้าไปใกล้กับโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐลุยเซียนาและเท็กซัส
อย่างไรก็ตามข้อมูลจากสำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้สิ่งแวดล้อม (BSEE) ระบุว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันประมาณ 67% ที่อยู่ในอ่าวเม็กซิโกไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติจนถึงขั้นต้องปิดโรงงานเลยเพราะพายุดังกล่าว เท่ากับว่ามีน้ำมันดิบจำนวน 1.2 ล้านบาร์เรลที่หายไป เชื่อว่านักลงทุนจะได้เห็นผลกระทบจากพายุเซต้าในรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจาก EIA ในสัปดาห์หน้า
2. การคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศคว่ำบาตรรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานปิโตรเลียมของอิหร่าน รวมไปถึงบริษัทน้ำมัน บริษัทผู้มีถังเก็บน้ำมัน และรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอิหร่านเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถึงกระนั้นข้อมูลจาก TankerTrackers.com ระบุว่าการคว่ำบาตรครั้งนี้ไม่ได้ทำให้อิหร่านต้องเปลี่ยนการผลิตน้ำมันและรูปแบบการส่งออกของอิหร่านเพราะพวกเขายังสามารถแอบลักลอบส่งน้ำมันได้ เฉพาะเดือนตุลาคมมีรายงานว่าพวกเขายังส่งออกน้ำมันจำนวน 1.3 ล้านบาร์เรลได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ
หากโจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงการคว่ำบาตรดังกล่าวแต่จะยังไม่สามารถทำได้จนกว่าจะผ่านวันพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคมไปก่อน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอิหร่านอาจจะสามารถส่งออกน้ำมันได้ประมาณ 1.8 ล้านบาร์เรลถึง 2.5 ล้านบาร์เรลได้ในปี 2021 หากว่าการคว่ำบาตรสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังไม่ควรที่จะลงทุนโดยเชื่อเหตุผลข้อนี้เป็นหลักเพราะเรายังไม่รู้ว่าโจ ไบเดนจะได้เป็นประธานาธิบดีหรือไม่ ที่สำคัญคือหากเขาได้เป็นแล้วเขาจะยกเลิกการคว่ำบาตรนี้เมื่อไหร่ เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะคว่ำบาตรต่อไปหรือไม่ก็รอจนกว่าจะทำข้อตกลงในสัญญา JCPOA ได้สำเร็จก่อน
3. แผนของกลุ่ม OPEC+
มีสัญญาณที่เชื่อถือได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่ากลุ่มโอเปก+ จะตัดสินใจไม่เพิ่มการผลิตตามแผนที่วางไว้ในเดือนมกราคม CEO ของบริษัทน้ำมัน Aramco ได้ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุดังกล่าวเมื่อวันพุธว่าเป็นเพราะบริษัทกลั่นน้ำมันที่อยู่นอกเอเชียได้ลดจำนวนน้ำมันที่พวกเขาถือครองเอาไว้ลง ดังนั้นหากผลิตน้ำมันเพิ่มก็อาจจะไม่มีประโยชน์ใดๆ
มีหลายบริษัทผู้กลั่นน้ำมันที่ไม่ใช่เอเชียตัดสินใจลดจำนวนน้ำมันที่กักเก็บเอาไว้ลงเพราะรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าหากจะเก็บไว้ ตอนนี้โอเปก+ มองว่าต่อให้คัดค้านแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 2 ล้านบาร์เรลในไตรมาสที่สอง ทางกลุ่มก็ต้องรับน้ำมันที่ผลิตออกมาจากลิเบียอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวันหลังจากที่ลิเบียสามารถเคลียร์ปัญหาภายในประเทศ และกลับมาผลิตน้ำมันได้ตามปกติอีกครั้ง