🏃 คว้าข้อเสนอ Black Friday ก่อนใคร รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ตอนนี้!รับส่วนลด

การเลือกตั้งสหรัฐฯ จะทำให้เกิดการผันผวนระยะสั้นแต่ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ปรับขึ้นในระยะยาว

เผยแพร่ 14/10/2563 18:39
XAU/USD
-
XAG/USD
-
GC
-
HG
-
SI
-
CL
-
NG
-
LHc1
-
LCc1
-
LXRc1
-

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก:สำนักสำมะโนสหรัฐฯ

- ตลาดพลังงานอยู่ในจุดที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแนวโน้ม
- โควิด-19 คือปัจจัยหลักที่หนุนและกดดันตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในเวลาเดียวกัน
- นักลงทุนจะหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง
- จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น VS ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด

วันที่ 3 พฤศจิกายนที่กำลังใกล้จะเข้ามาถึงคือวันตัดสินทิศทางการเดินหน้าของประเทศสหรัฐอเมริกาไปอีกสี่ปีข้างหน้า ประชาชนชาวอเมริกันทุกคนจะมีสิทธิ์ได้เป็นผู้ตัดสินอนาคตทางเศรษฐกิจของโลกรวมถึงผู้ที่จะเข้าไปนั่งอยู่ในสภาสูงซึ่งจะส่งผลกระทบต่อนโยบายการบริหารเศรษฐกิจภายในและต่างประเทศ ตั้งแต่สหรัฐฯ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกสมัยจบสงครามโลกครั้งที่สอง การเมืองและการปกครองของดินแดนแห่งเสรีภาพนี้ก็กระทบถึงตลาดลงทุนทั่วโลกมาโดยตลอด

สหรัฐอเมริกาคือหนึ่งในประเทศที่เป็นผู้บริโภคของโลกอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าทางการเกษตร โลหะ น้ำมัน ทองคำ เมื่อสหรัฐฯ เกิดการปั่นป่วนภายในจึงไม่แปลกที่สินค้าเหล่านี้ย่อมได้รับผลกระทบ เป็นที่ทราบกันว่าตอนนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากทั้งวิกฤตไวรัสโรคระบาดโควิด-19 ที่จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้แม้ธนาคารกลางจะออกมาลดอัตราดอกเบี้ย มีการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วหนึ่งรอบจนมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ลดลงต่ำมากที่สุดและปรับเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยใหม่ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่จะหนุนให้สินค้าโภคภัณฑ์มีโอกาสขึ้นในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ดังนั้นหากจะพูดว่าผลการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดการเงินของโลกตั้งแต่เริ่มปี 2021 เป็นต้นไปก็ไม่ผิดนัก

ตลาดพลังงานอยู่ในจุดที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแนวโน้ม

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาคือประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติหลักของโลก ในเดือนมีนาคมพบว่าสหรัฐฯ สามารถผลิตน้ำมันได้มากที่สุดถึง 13.1 ล้านบาร์เรลต่อวันแม้ว่าจากการสำรวจล่าสุดในวันที่ 2 ตุลาคมจะพบว่าตัวเลขดังกล่าวลดลงมาเหลือ 11 ล้านบาร์เรลต่อวัน ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีขุดน้ำมันออกมาจากหินของสหรัฐฯ ทำให้อเมริกากลายเป็นผู้ที่มีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตน้ำมันหลักของโลกอย่างซาอุดิอาระเบียหรือรัสเซียได้อย่างสบายๆ

จากผลการสำรวจ ผู้ที่คาดว่าจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนถัดไปในตอนนี้ยังตกเป็นของโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสมัยของนายบารัก โอบามาแห่งพรรคเดโมแครตซึ่งมุ่งเน้นที่จะทำให้ประเทศก้าวออกมาจากอุตสาหกรรมพลังงานแบบเดิมๆ และหันไปสู่พลังงานสะอาดที่ปราศจากคาร์บอนทำลายสิ่งแวดล้อม การที่สหรัฐฯ ในอนาคตอาจจะมีนโยบายพลังงานไปทางนี้อาจส่งผลให้ความได้เปรียบในการกุมตลาดพลังงานของโลกกลับไปอยู่ในมือของกลุ่มโอเปกและรัสเซียอีกครั้ง

ในโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ นโยบายทางด้านพลังงานของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญไปทั่วโลกซึ่งหากเปลี่ยนนโยบายในครั้งนี้อีกโลกก็อาจจะต้องมองตลาดพลังงานในมุมมองใหม่ๆ ดังนั้่นการเลือกตั้งสหรัฐฯ จึงเป็นเหมือนการตัดสินอนาคตผลผลิตจากตลาดพลังงานของโลกไปในตัวด้วย

โควิด-19 คือปัจจัยหลักที่หนุนและกดดันตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในเวลาเดียวกัน

หากถามใครว่านึกถึงปี 2020 จะนึกถึงอะไร? เชื่อได้เลยว่าร้อยทั้งร้อยจะตอบว่าโควิด-19 อย่างแน่นอน การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาคือธีมหลักที่กระทบต่อทุกประเทศ ทุกระบบเศรษฐกิจและทุกภาคส่วน ในช่วงที่ก่อนการเลือกตั้งและหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบที่สองทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปกลับรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 

ข่าวการติดเชื้อโควิดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และคนใกล้ตัวซึ่งอยู่ในทำเนียบขาวทำให้ประชาชนสหรัฐฯ กลับมาตื่นตัวกับเรื่องโควิด-19 มากยิ่งขึ้น เพราะหากบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองอย่างดีที่สุดของโลกยังสามารถติดเชื้อไวรัสนี้ได้ย่อมหมายความว่าทุกคนมีโอกาสเสี่ยงติดโควิดได้ ข้อมูลตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิดและเสียชีวิตในวันที่ 9 ตุลาคมระบุว่าตอนนี้ (ในขณะที่กำลังเขียนบทความ) มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ ไปแล้ว 210,000 คนและยังมีผู้ติดเชื้ออยู่ในประเทศอีก 7.4 ล้านคน

ในแง่ของเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สหรัฐอเมริกาซึ่งพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลักต้องได้รับผลกระทบ การผลิตในภาคส่วนต่างๆ ต้องชะลอลงหรือไม่ก็หยุดดำเนินกิจการชั่วคราว การหดตัวของตัวเลขความเชื่อมั่นในผู้บริโภคที่ไม่กล้าจะจับจ่ายใช้สอยและการไม่สามารถผลิตสินค้าโภคภัณฑ์บางอย่างได้ทำให้ราคาของสินค้านั้นๆ ปรับตัวสูงขึ้นLean Hogs Weekly TTM

หนึ่งตลาดที่ได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดคือสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทเนื้อสัตว์อย่างเช่นเนื้อโค กระบือ สุกรต่างมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะแหล่งผลิตกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากโควิด-19 ในขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทได้รับผลกระทบในเชิงลบแต่ก็มีสินค้าบางประเภทที่ได้รับแรงหนุนจากโควิด-19 ยกตัวอย่างเช่นภาคการก่อสร้างที่กราฟราคาค้าไม้แปรรูปในตลาดซื้อขายล่วงหน้าพุ่งสูงขึ้นจนสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $1000 ต่อ 1,000 บอร์ดฟุตได้ในเดือนกันยายนLumber Weekly TTM

การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เอื้อกับการทำงานอยู่ที่บ้านทำให้มีการต่อเติมซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น นี่คือตัวอย่างสองตลาดที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เท่านั้น ยังมีอีกหลายๆ สินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันซึ่งนำไปสู่ความผันผวนของการบริโภคภายในของประเทศสหรัฐอเมริกา

นักลงทุนจะหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะกลายเป็นข่าวดีสำหรับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ไปซะทีเดียว แม้เราจะมองว่าภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับตัวสูงขึ้นแต่ก่อนหน้านี้ในช่วงไตรมาสที่หนึ่งเราได้เห็นการร่วงลงของสินค้าโภคภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญมาแล้วไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ร่วงลงสู่จุดติดลบก่อนจะสามารถวิ่งกลับขึ้นมาได้ แร่ทองแดงเคยมีราคาต่ำสุดอยู่ที่เกือบ $2 ต่อปอนด์ แร่เงินร่วงลงสู่จุดต่ำสุดตั้งแต่ปี 2009 ราคาไม้แปรรูปที่ร่วงลงสู่จุดต่ำสุดที่ $251.50 ต่อ 1,000 บอร์ดฟุตเป็นต้น

แม้จะมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนอาจไม่ต้องการรับความเสี่ยงและทำให้สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาลดลงอีกครั้งแต่หากมองภาพรวมเทียบระหว่างตลาดนี้กับตลาดหุ้นผมพบว่าในระยะยาวตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มีความได้เปรียบกว่า จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหลายที่ภาครัฐออกมาไม่ว่าจะเป็นการทำ QE การปรับลดอัตราดอกเบี้ย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ “การเพิ่มเงินเข้าไปในระบบ”

การเพิ่มเงินเข้าไปในระบบส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงินนั้นๆ โดยตรงเพราะยิ่งมีจำนวนมากเท่าไหร่เงินก็จะยิ่งอ่อนมูลค่าลงมากเท่านั้น แม้มาตรการทางเศรษฐกิจเหล่านี้จะเป็นสิ่งจำเป็นแต่ก็ต้องแลกมากับมูลค่าของเงินที่หายไปและระดับของหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อจึงมีส่วนทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นด้วย 

ในอดีตปี 2008 ไปจนถึงปี 2012 ก็เคยมีเหตุการณ์อย่างเช่นตอนนี้เกิดขึ้น ในช่วงนั้นสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลได้ ดังนั้นแม้ระยะสั้นนักลงทุนจะยังไม่กล้าเสี่ยงและทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ในระดับต่ำแต่ในระยะยาวตลาดนี้จะมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอันเป็นผลกระทบมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ

จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น VS ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด

ช่วงก่อนถึงการเลือกตั้งอาจทำให้นักลงทุนในตลาดไม่กล้าเสี่ยงและจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับลดลงมา แต่หลังจากผ่านการเลือกตั้งไปแล้วตลาดจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติและวิ่งไปตามกลไกตลาดตามที่ได้กล่าวไปในหัวข้อที่แล้ว ที่สำคัญธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังออกมาแถลงการณ์ด้วยตัวเองและย้ำอยู่ตลอดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่เกือบ 0% ไปจนถึงปี 2023 การปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเกิน 2% การขาดดุลสะสมของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเกิน $27 ล้านล้านเหรียญสหรัฐและยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่สองซึ่งคาดว่าจะมาแน่นอน ปัจจัยเหล่านี้มีแต่ทำให้ดอลลาร์อ่อนมูลค่าลงUS and World Population Clock

การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรในโลกก็มีส่วนช่วยส่งเสริมให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น อ้างอิงข้อมูลจากสำนักสำมะโนสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนระบุว่าในรอบสองทศวรรษมีประชากรโลกเพิ่มขึ้น 28% มีตัวเลขเกินกว่า 7,688 ล้านคน ยิ่งมีประชากรมากเท่าไหร่ความต้องการก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นซึ่งไม่สอดคล้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอยู่ในโลกอย่างจำกัด ต่อให้ไม่มีเชื้อไวรัสโควิด-19 ความต้องการของผู้คนทั่วโลกในปีหน้าก็ย่อมมีมากกว่าปีนี้อยู่ดี

ดังนั้นสำหรับนักลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยระยะยาว ช่วงก่อนการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเตรียมเงินเตรียมพอร์ตการลงทุนให้พร้อม เพราะจากปัจจัยที่เรากล่าวมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินในระบบ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก ยิ่งมีแต่จะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย