โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (BK:CHG) ธุรกิจถูกกดดันจาก COVID-19 เชื่อกระทบเพียงระยะสั้น
► แนวโน้ม 3Q63 อ่อนตัว YoY จากฐานรายได้และกำไรที่สูงในช่วง 3Q62
► คาด CH304 และ RPC จะถึงจุดคุ้มทุนและทำกำไรได้ในช่วง 4Q63
► เราคาดว่าปี 2563 แนวโน้มธุรกิจทรงตัว จากผลกระทบ COVID-19 จึง ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-2564 ลดลง 6%
► เชื่อว่าผลกระทบ COVID-19 เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น และคาดว่า ได้รับผลกระทบน้อยสุดเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลอื่น
► ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ชาวต่างชาติเพียง 3% ของรายได้รวม
► แนะนำ “เก็งกำไร” ให้ราคาเป้าหมาย 2.80 บาท อิงวิธี DC
คาดภาพรวม 3Q63 อ่อนตัว YoY เราคาดว่าภาพรวม 3Q63 จะชะลอตัว YoY เนื่องจากฐานรายได้และกำไรที่สูงในช่วง 3Q62 รวมถึงในเดือน ก.ค. – ส.ค. 63 รายได้ผู้ป่วยเงินสดยังคงติดลบ แม้จะติดลบใน อัตราที่น้อยลง เมื่อเทียบกับเดือน เม.ย. ที่ -20% และ 2Q63 ที่ -15% อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยเริ่มกลับมารับบริการราว 90% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาด COVID-19 นอกจากนี้เราคาดว่ารายได้จาก CH304 และ RPC ในช่วง 3Q63 มีแนวโน้ม เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะช่วยชดเชยรายได้ที่ลดลงบางส่วน ทั้งนี้คาดว่า CH304 และ RPC จะถึงจุดคุ้มทุนและสามารถทำกำไรได้ในช่วง 4Q63
คาดปี 2563 ทรงตัว จากผลกระทบ COVID-19 ผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้บริษัทคาดเป้ารายได้ปี 2563 อาจทรงตัวหรือโต Low Single Digit (เดิมคาดโต Double Digit) เนื่องจากมาตรการการควบคุมการแพร่ ระบาดของรัฐบาล ส่งผลให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้าน (อุบัติเหตุ น้อยลง การเจ็บป่วยลดลง) อย่างไรก็ตามคาดว่ารายได้โครงการประกันสังคม (จำนวน ผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นและการปรับเพิ่มอัตราค่าเหมาจ่ายรายหัว) และรายได้จาก สปสช. (จำนวนเคสเพิ่มขึ้นและการปรับอัตราการจ่ายสูงขึ้น) จะยังเติบโตช่วยชดเชยรายได้ ผู้ป่วยเงินสดที่ลดลง ทำให้เราปรับประมาณการรายได้รวมปี 2563-2564 ลง 7% และ 8% เป็น 5,228 ล้านบาท และ 5,789 ล้านบาท ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-2564 ลดลง 6% เป็น 728 ล้านบาท และ 815 ล้านบาท ตามลำดับ
แนะนำ “เก็งกำไร” ให้ราคาเป้าหมาย 2.80 บาท แม้ธุรกิจในปี 2563 ทรงตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบ COVID-19 แต่เชื่อว่าเป็นเพียง ผลกระทบระยะสั้น และคาดว่าบริษัทได้รับผลกระทบน้อยสุดเมื่อเทียบกับโรงพยาบาล อื่น เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากชาวต่างชาติเพียง 3% ของรายได้รวม อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับขึ้นกว่า 30% จากจุดต่ำสุดในปี 2563 ทำให้เหลือ Upside เพียง 7.7% ปรับคำแนะนำเป็น “เก็งกำไร” จาก “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 2.80 บาท อิงวิธี DCF (WACC อยู่ที่ 6.28% และ Terminal growth rate อยู่ที่ 1.5%)
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities