ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: CQG
- สินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าทางการเกษตรอาจมีการผันผวนสูงขึ้น
- ราคาน้ำตาลและกาแฟปรับตัวสูงขึ้น
- ช่วงปี 2008-2011 เคยเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของสินค้าเกษตรและในตอนนี้อาจจะเป็นเช่นนั้นอีก
น้ำตาลและกาแฟต่างก็เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าทางการเกษตรที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่นักลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ เมื่อพูดถึงการเกษตรแล้วประเทศที่นักลงทุนจะนึกถึงเป็นอันดับหนึ่งเลยคือบราซิลซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำตาลและกาแฟเป็นหลักเพราะสภาพภูมิอากาศในทางทวีปอเมริกาตอนใต้เอื้อแก่การเพาะปลูกเมล็ดกาแฟอาราบิก้าและอ้อย
ราคาซื้อขายของกาแฟและน้ำตาลถูกนำมาคาดการณ์เป็นการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าในตลาดการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างทวีป (ICE) โดยมีดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลักที่ควบคุมกลไก แต่เพราะผลิตภัณฑ์ทั้งสองเป็นผลผลิตท้องถิ่นจากประเทศบราซิลและมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในสกุลเงินเรียล (Real) จึงทำให้การดูความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับเรียลบราซิลมีผลกระทบต่อการซื้อขายและเปลี่ยนสินค้าทางการเกษตรทั้งสองชนิด บ่อยครั้งที่การอ่อนมูลค่าลงของสกุลเงินเรียลเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อราคาซื้อขายน้ำตาลและกาแฟ
นอกจากมูลค่าของสกุลเงินทั้งสองแล้วยังมีอีกหลายปัจจัยที่สามารถส่งผลกระทบต่อราคาผลผลิตจากกาแฟและน้ำตาลได้เช่นอุปสงค์อุปทาน สภาพอากาศ โรคระบาดฯลฯ ซึ่งในปี 2020 ไม่มีข่าวไหนดังไปกว่าการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาหรือที่รู้จักกันในนาม “โควิด-19” และบราซิลก็เป็นประเทศอันดับที่ 2 ที่มียอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากไวรัสตัวนี้สูงที่สุด
ในปี 2020 ราคาน้ำตาลและกาแฟลดต่ำลงจนเกือบจะถึงจุดต่ำสุดของปี ราคาซื้อขายกาแฟล่วงหน้าเคยลดลงไปต่ำกว่า $1 ต่อปอนด์ในขณะที่ราคาซื้อขายน้ำตาลล่วงหน้าเคยลงไปสร้างจุดต่ำสุดเอาไว้ที่ 9.05 เซนต์ในเดือนเมษายนซึ่งถือว่าเป็นจุดต่ำสุดที่ราคาเคยทำมานับตั้งแต่ปี 2007 แต่ที่น่าสังเกตก็คือเราพบว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งสองสามารถวิ่งกลับขึ้นมาได้อย่างมีนัยสำคัญ
สินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าทางการเกษตรอาจมีการผันผวนสูงขึ้น
ที่ผ่านมาในประวัติศาสาตร์การลงทุนของสินค้าทางการเกษตรพบว่าบ่อยครั้งที่ราคามีความผันผวนสูงเนื่องจากปัจจัยที่เข้ามากระทบหลายรูปแบบเช่นสภาพอากาศ โรคระบาดในสินค้าทางการเกษตร การผันผวนของสกุลเงิน ฯลฯ
ราคาซื้อขายน้ำตาลล่วงหน้าสร้างกรอบการวิ่งมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 1970 โดยมีราคาอยู่ที่ระหว่าง 2.29 เซนต์ขึ้นไปจนถึง 66.00 เซนต์ จุดสูงสุดล่าสุดที่น้ำตาลเคยขึ้นไปถึงอยู่ที่ 36.08 เซนต์เกิดขึ้นในปี 2011 และจุดต่ำสุดล่าสุดที่เคยทำได้มีราคาอยู่ที่ 4.62 เซนต์ต่อปอนด์ ในขณะเดียวกันราคาซื้อขายกาแฟล่วงหน้ามีกรอบการวิ่งของราคาอยู่ระหว่าง 41.50 เซนต์ขึ้นไปจนถึง $3.3750 ต่อปอนด์ในปี 1973 หากนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาพบว่ากราฟการซื้อขายกาแฟล่วงหน้าเคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $3.0625 ส่วนจุดต่ำสุดเกิดขึ้นที่ 41.50 เซนต์
ราคาน้ำตาลปรับตัวสูงขึ้น
ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมเราพบว่าราคาซื้อขายน้ำตาลล่วงหน้าสามารถขึ้นยืนเหนือแนวต้านระยะสั้น 12.29 เซนต์ต่อปอนด์ได้ ที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนมีนาคมราคาซื้อขายน้ำตาลเคยลงไปสร้างจุดต่ำสุดเอาไว้ที่ 9.05 เซนต์ต่อปอนด์และไม่เคยผ่านแนวต้าน 12.30 เซนต์ขึ้นมาได้เลย
รูปกราฟรายสัปดาห์แสดงให้เห็นการเจาะแนวต้านขึ้นมายืนในระดับที่สูงกว่าเดิมในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เองที่เราพบว่าราคาซื้อขายน้ำตาลล่วงหน้าที่จะหมดอายุลงในเดือนตุลาคมสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ 13 เซนต์ปิดช่องว่างระหว่างราคา (Gap) จาก 12.93 เซนต์ขึ้นไปยัง 12.95 เซนต์ได้เป็นที่เรียบร้อย
อินดิเคเตอร์อย่าง RSI และตัวบอกโมเมนตัมของราคากำลังมุ่งหน้าขึ้นสู่โซน overbought เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วในขณะที่ดัชนีวัดความผันผวนรายสัปดาห์มีตัวเลขอยู่ที่ 38% ซึ่งเหนือกว่าจุดกึ่งกลางของปี 2020
เมื่อไปดูที่จำนวนรวมของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของทั้งสองฝั่ง (ฝั่งซื้อและฝั่งขาย) พบว่าในวันที่ 6 สิงหาคมจำนวนรวมสัญญาซื้อขายมีเกิน 1 ล้านสัญญา มีตัวเลขสูงสุดของจำนวนสัญญาซื้อขายอยู่ที่ 1.26 ล้านสัญญาซึ่งเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนที่ราคาน้ำตาลสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดได้ตั้งแต่ปี 2017 ก่อนที่จำนวนสัญญาจะลดลงมา ตัวเลขที่ลดลงชี้ให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อโรคระบาดซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นในการผลิตน้ำตาล
กราฟราคากาแฟสร้างจุดต่ำสุดที่ยกตัวสูงขึ้น
กราฟราคาซื้อขายกาแฟอาราบิก้าล่วงหน้าในตลาด ICE ปรับตัวลดลงไปยังจุดต่ำสุดของปี 2020 ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนโดยมีราคาซื้อขายอยู่ที่ 92.70 เซนต์ต่อปอนด์ซึ่งจุดต่ำสุดของปีนี้มีราคาสูงกว่าจุดต่ำสุดของปี 2019 ที่เคยลงไปถึง 86.35 เซนต์
จากรูปของกราฟรายสัปดาห์จะเห็นการดีดตัวกลับขึ้นมาของราคาซื้อขายกาแฟล่วงหน้าที่สามารถขึ้นไปถึง $1.2725 ต่อปอนด์ได้ในสัปดาห์ที่แล้วซึ่งก่อนหน้านั้นไม่ถึงสองเดือนราคาซื้อขายกาแฟล่วงหน้าสามารถขึ้นมาได้ 37.3% ในขณะที่อินดิเคเตอร์อย่าง RSI และตัวบอกโมเมนตัมปรับตัวขึ้นสู่โซน 50% ดัชนีวัดความผันผวนรายสัปดาห์มีตัวเลขเกือบแตะ 40% ส่วนจำนวนรวมของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของทั้งสองฝั่งมีจำนวนรวมมากกว่า 265,000 สัญญาคงที่มาตลาดตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน
เราคาดการณ์ว่าเป้าหมายถัดไปของกราฟซื้อขายกาแฟล่วงหน้าคือจุดสูงสุดที่ $1.3065 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในช่วงปลายเดือนมีนาคม ตามมาด้วยเป้าหมาย $1.3840 ต่อปอนด์ที่สูงขึ้นกว่าเดิมซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเดือนธันวาคมปี 2019 ในกราฟซื้อขายกาแฟล่วงหน้าที่จะหมดอายุสัญญาลงในเดือนกันยายนพบว่ากราฟมีราคาอยู่ที่ $1.1545 ต่อปอนด์หลังจากที่ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดได้ในสัปดาห์ที่แล้วก่อนจะย่อตัวกลับลงมา
ช่วงปี 2008-2011 เคยเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของสินค้าเกษตรและในตอนนี้อาจจะเป็นเช่นนั้นอีก
การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินเข้าระบบอย่างไร้ขีดจำกัดของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลกระทบให้ดอลลาร์อ่อนมูลค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ และในขณะเดียวกันก็อ่อนมูลค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินเรียลด้วย นั่นคือเหตุผลประการหนึ่งที่ช่วยหนุนให้สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งสองมีราคาซื้อขายที่สูงขึ้น
เหตุผลข้อที่สองคือประเทศบราซิลในตอนนี้กำลังประสบปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตและส่งออกน้ำตาลกับกาแฟ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เวียดนามก็ประสบปัญหาไม่สามารถผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสต้าได้ตามความสามารถที่สามารถผลิตได้ในระดับปกติซึ่งจะยิ่งส่งผลให้อุปสงค์กาแฟเพิ่มสูงขึ้นในขณะที่อุปทานของกาแฟมีอยู่อย่างจำกัด
ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่ารูปแบบพฤติกรรมราคาที่เกิดขึ้นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงปี 2008-2011 จะกลับมาอีกครั้งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้เพราะปี 2008 ก็เป็นปีที่สหรัฐฯ เจอวิกฤตทางการเงินจนธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดซึ่งภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นกับตอนนี้มีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
รูปนี้แสดงให้เห็นกรอบการวิ่งของราคาซื้อขายน้ำตาลล่วงหน้ารายไตรมาสที่เกิดขึ้นในปี 2008 มาจนถึงปี 2011 ตอนนั้นราคาน้ำตาลมีจุดต่ำสุดอยู่ที่ 9.44 เซนต์และมีจุดสูงสุดอยู่ที่ 36.08 ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2011
ช่วงระหว่างปี 2008-2011 กราฟราคาซื้อขายกาแฟล่วงหน้ามีจุดต่ำสุดอยู่ที่ $1.0170 และมีจุดสูงสุดอยู่ที่ $3.0625 คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของราคามากกว่า 3 เท่าในช่วงเวลาดังกล่าว
ในตลาดลงทุนมีคำที่นักลงทุนชอบพูดอยู่บ่อยๆ ว่า “ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ” และเมื่อเทียบข้อมูลที่ผมเขียนมาทั้งหมดในบทความนี้เข้ากับพฤติกรรมการวิ่งของราคาในกรอบปี 2008-2011 จะพบว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งสองจะปรับตัวขึ้นภายในไม่กี่เดือนหรือปีข้างหน้านี้