3 หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: Amazon, Alphabet, Apple (NASDAQ:AAPL)
สัปดาห์นี้คือสัปดาห์ที่เป็นไฮไลท์ที่สุดสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากจะมีการรายงานตัวเลขผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของโลก รายงานผลประกอบการรอบนี้อาจสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดลงทุนเนื่องจากไตรมาสที่ 2 คือไตรมาสที่เขาว่ากันว่าตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 มากที่สุดจนถึงกระทั้งตอนนี้ที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิดในสหรัฐฯ ยังเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกันกับความตึงเครียดทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน
นักวิเคราะห์คาดการณ์จากตัวเลขผลประกอบการไตรมาสที่แล้วและตัวเลขคาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของบริษัทที่มีชื่ออยู่บน S&P 500 จะลดลงมากถึง 40.3% แต่สำหรับรายงานผลประกอบการของกลุ่มเทคโนโลยีพวกเขาคาดว่าผลกำไรโดยเฉลี่ยจะลดลงเพียง 4.4% เท่านั้น
ตลาด NASDAQ ที่เคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดประวัติการณ์เมื่อช่วงหน้าร้อนของปีนี้มีราคาปิดลดต่ำลง 0.9% ในสัปดาห์ที่ 2 และมีราคาปิดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ 10,363 แต่ถึงกระนั้นตัว NASDAQ ก็ยังสามารถปรับขึ้นได้ 15.5% ตลอดทั้งปี 2020 มาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการปรับตัวลดลง 0.3% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกจาก 4 สัปดาห์ล่าสุดที่ S&P 500 ปิดตลาดติดลบ ในบทความนี้เราจะนำเสนอข้อมูลของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ที่ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้วและจะเป็นที่จับตามองมากที่สุดในสัปดาห์นี้
1. Amazon
บริษัทผู้ค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้มูลค่าทางการตลาดของแอมะซอนคงจะสามารถทำตัวเลขที่เกินเป้าได้อีกเช่นเคยและคาดการณ์ว่ายอดขายของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 มีตัวเลขอยู่ที่ $81,090 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.38
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทสะท้อนออกมาในรูปแบบของราคาหุ้นที่ตลอดทั้งปี 2020 วิ่งขึ้นมาแล้ว 62% บริษัทแอมะซอนคือผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ จากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่จำเป็นต้องย้ายมาซื้อของบนโลกออนไลน์แทนจากวิกฤตโควิด-19 ล่าสุดหุ้นแอมะซอนมีราคาอยู่ที่ $3000.33
จากนี้ต่อไปในอนาคตไม่ว่าหุ้นของแอมะซอนจะปรับตัวลงมาด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม นักลงทุนจะมองขาลงนั้นเป็นการย่อเพื่อขึ้นต่อทั้งหมดเพราะธุรกิจของแอมะซอนยังคงสามารถสร้างความมหัศจรรย์ให้กับเหล่านักลงทุนได้อยู่เสมอ แอมะซอนมีตัวเลขอัตราการเติบโตที่ได้มาจากการลงทุนในธุรกิจคลาวด์และการโฆษณาออนไลน์เยอะมาก เฉพาะตัวเลขเปอร์เซนต์กำไรที่ได้มาจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ก็มีตัวเลขมากถึง 3 หลักเลยทีเดียว
2. Alphabet
อัลฟาเบตหรือบริษัทแม่ของกูเกิล (NASDAQ:GOOGL) จะรายงานผลประกอบการในวันเดียวกันกับแอมะซอน นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 จะมีตัวเลขยอดขายอยู่ที่ $37,300 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $8.04 หุ้นของกูเกิลในปีนี้ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานซึ่งมีสาเหตุมาจากบริษัทที่ฝากโฆษณาบนกูเกิลได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จนทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องลดงบประมาณในส่วนของการโฆษณาลง
ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นกูเกิลปรับตัวขึ้นมา 13% จากที่เคยทำผลงานขาขึ้นตลอดทั้งปี 2019 เอาไว้ที่ 30% และมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $1503.65 ปัจจุบันบริษัทกูเกิลกำลังพยายามกระจายความเสี่ยงของบริษัทตัวเองเองออกจากการทำกำไรเฉพาะการฝากโฆษณาจากการค้นหาข้อมูลของผู้ใช้งานบนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น พวกเขาได้ลงทุนอย่างหนักในธุรกิจคลาวด์ การทำวิดีโอดิจิทัลและการผลิตฮาร์ดแวร์ที่สามารถรองรับระบบนิเวศน์ของอุปกรณ์กูเกิลได้ ที่น่าสนใจก็คือตอนนี้กูเกิลกำลังลงทุนกับรถไร้คนขับ
จากการรายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกเมื่อเดือนเมษายนพบว่าการลงทุนของกูเกิลในหลายภาคส่วนที่ได้กล่าวถึงไปเริ่มมีการเติบโตของตัวเลขกำไรอย่างมีในสำคัญแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางการได้รับผลกระทบจากตัวเลขการฝากโฆษณาที่ลดลงจากโควิด-19
3. Apple
บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนชื่อดัง “ไอโฟน (iPhone)” อย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) คืออีกหนึ่งบริษัทที่จะรายงานผลประกอบการในวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดพร้อมๆ กันกับแอมะซอนและกูเกิล นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ของแอปเปิลจะมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.02 และมียอดขายรวมทั้งสิ้น $51,770 ล้านเหรียญสหรัฐ
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และมาตรการตอบโต้จากทางภาครัฐในหลายๆ ประเทศสร้างความท้าทายให้กับการต้องแก้ปัญหาไลน์การผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ของผลิตภัณฑ์แอปเปิลเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานในประเทศจีนที่นอกจากจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดแล้วยังมีความเสี่ยงจะถูกนำมาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศอีก แต่จากตัวเลขขาขึ้นตลอดทั้งปี 2020 ซึ่งอยู่ที่ 26% และ 60% เฉพาะขาขึ้นจากจุดต่ำสุดของเดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบันก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าปัญหาสำหรับแอปเปิลมีไว้ให้แก้ไขและเติบโตเท่านั้น หุ้นแอปเปิลมีราคาล่าสุดอยู่ที่ $373.01
สิ่งที่ทำให้นักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในบริษัทผลไม้นี้อยู่คือความสามารถในการทำให้ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ไม่สามารถย้ายไปค่ายอื่นได้เพราะระบบนิเวศน์และนวัตกรรมของบริษัท นอกจากนี้แอปเปิลยังเป็นบริษัทที่มีสภาพคล่องสูงมากๆ พวกเขามีเงินสดอยู่ในมือมากถึง $207,000 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่มีหนี้ระยะสั้นและยาวรวมกัน $108,000 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น