♦สัปดาห์ที่ผ่านมา การฟื้นตัวเศรษฐกิจทั่วโลกอาจเริ่มแตกต่างกัน โดยในฝั่งสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคนั้นแย่ลง ขณะที่ภาพเศรษฐกิจจีนกลับฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
♦ติดตามประเด็นการเมืองยุโรป โดยตลาดอาจปิดรับความเสี่ยงสินทรัพย์ยุโรป กดดันให้ทั้งเงินยูโร รวมถึงเงินปอนด์และตลาดหุ้นยุโรปผันผวนสูงขึ้น หาก EU ไร้ข้อตกลง Recovery Fund และการเจรจา Brexit ก็ไร้ความคืบหน้าฃ
♦ตลาดอาจเลือกถือเงินดอลลาร์ไว้ก่อน ท่ามกลางความเสี่ยงการเมืองยุโรป นอกจากนี้เงินดอลลาร์อาจจะได้รับแรงหนุนจากความกังวลการระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 2
ในไทยและความวุ่นวายของการเมืองภายในประเทศ
♦กรอบเงินบาทสัปดาห์หน้า 31.45-31.90 บาท/ดอลลาร์ USD/THB
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดประเมินว่าภาคการผลิตและภาคการบริการสหรัฐฯจะฟื้นตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Markit Manufacturing PMI)
เดือนกรกฎาคมที่จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 52จุด จาก 49.8จุด ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Markit Services PMI) ก็จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 51จุด จาก 47.9จุด
ฝั่งยุโรป – การทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ได้ช่วยให้ตลาดมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรป โดยตลาดคาดว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) เดือนกรกฎาคม จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 50จุด จาก 47.4จุด ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Markit Services PMI) ก็จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 51จุด จาก 48.3จุด อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจยุโรปยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของ Brexit และกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจ (EU Recovery Fund) ซึ่งตลาดจะติดตามทั้งผลการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรป (EU Summit) และผลการเจรจา Brexit รอบที่ 6 อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจและตลาดการเงินในระยะถัดไป
ฝั่งเอเชีย – ตลาดคาดว่าความต้องการสินค้าและบริการจากภูมิภาคเอเชียจะฟื้นตัวดีขึ้นหนุนโดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่กลับมาคึกคักและการผ่อนเริ่มคลายมาตรการ Lockdown ส่งผลให้ยอดส่งออก (Exports) ของญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายนจะหดตัวเหลือ 24.7% จากปีก่อนหน้า ดีขึ้นจากที่หดตัวกว่า 28% ในเดือนพฤษภาคม แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโซนเอเชียจะเริ่มสดใสขึ้นแต่ผลกระทบจากวิกฤติ COVID-19 ก็ทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้ในไตรมาสที่ 2 หดตัวกว่า 2.6%เมื่อเทียบกับปีก่อนและแย่ลงจากที่ขยายตัวราว 1.4% ในไตรมาสแรก อย่างไรก็ดี ในฝั่งจีน ภาพเศรษฐกิจที่กลับมาขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องจะช่วยให้ธนาคารกลางจีนสามารถรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินด้วยการคงอัตราดอกเบี้ย 1yr LPR ไว้ที่ 3.85%
ฝั่งไทย – ยอดการส่งออกและนำเข้าในเดือนมิถุนายนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าเดือนพฤษภาคม โดยตลาดมองว่า ยอดส่งออกจะหดตัวราว 15%จากปีก่อนหน้า ดีขึ้นจากที่ลดลงกว่า 23%ในเดือนก่อน หนุนโดยภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มดีขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ทั้งนี้ความเชื่อมั่นแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจากนักลงทุนอาจจะยังไม่กลับมาท่ามกลางความเสี่ยงการเมืองที่เพิ่มขึ้น ไปพร้อมกับความเสี่ยงของการระบาด COVID-19 ระลอกสอง