หลังจากการฟื้นตัวของตลาดลงทุนที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่จุดต่ำสุดของเดือนมีนาคมที่นักลงทุนแทบจะไม่ต้องเลือกมากนักว่ากลุ่มไหนจะขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตามยังมีภาคส่วนหนึ่งที่ยังคงไม่ฟื้นตัวนั่นก็คือหุ้นกลุ่มพลังงาน
ดัชนี Vanguard Energy Index Fund ETF (NYSE:VDE) คือดัชนีของกลุ่มบริษัทกลุ่มพลังงานอันดับต้นๆ มากกว่าสิบรายซึ่งรวมถึง Exxon Mobil (NYSE:XOM), Chevron (NYSE:CVX) และ Phillips 66 (NYSE:PSX) ตอนนี้มูลค่าของดัชนีดังกล่าวยังคงลดไปมากกว่า 40% ในปี 2020 แม้ว่าดัชนี S&P 500 จะฟื้นตัวขึ้นมาได้เกือบทั้งหมดของที่เสียไปในเดือนมีนาคมแล้วก็ตาม
กระแสล่าสุดในตลาดน้ำมันต่างเห็นว่าหุ้นกลุ่มพลังงานนั้นได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วหลังจากได้รับผลกระทบของวิกฤตโรคระบาดทำให้ความต้องการของน้ำมันค่อยๆ กระเตื้องขึ้น ราคาน้ำมันได้รับแรงบวกมาจากสองสาเหตุ ทั้งการที่ OPEC+ ตกลงลดการผลิตและประเทศต่างๆ เริ่มเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจหลังจากมีการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันไวรัสโคโรนาชุบชีวิตอุตสาหกรรมการผลิตและทำให้รถยนต์สามารถกลับมาวิ่งได้อีกครั้ง
จากรายงานล่าสุด ความต้องการน้ำมันในจีนกลับสู่ภาวะเดิมก่อนที่จะมีการประกาศล็อกดาวน์เพื่อลดการระบาดระลอกแรกในปักกิ่งแล้ว เนื่องจากจีนเป็นประเทศผู้บริโภคน้ำมันเป็นอันดับสองของโลกน้อยกว่าสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียวจึงทำให้การตั้งตัวได้อย่างรวดเร็วของจีนส่งผลให้ความต้องการน้ำมันในตลาดกลับมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่มูลค่าเคยลดลงต่ำถึงจุดติดลบตอนนี้ก็ได้ลอยตัวอยู่เหนือระดับ 40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาเรลแล้ว
การฟื้นตัวที่ไม่ได้เท่ากันทุกภาคส่วน
ถึงแม้ว่าจะมีการฟื้นตัวในตลาดน้ำมันจริงแต่ก็ยังมีสองสาเหตุที่เป็นไปได้ที่ทำให้นักลงทุนจำนวนหนึ่งยังกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดน้ำมัน สาเหตุแรก ตลาดพลังงานในประเทศที่เป็นฐานเศรษฐกิจหลักยังไม่ได้ออกจากพายุวิกฤตได้อย่างแท้จริง ในหลายประเทศการระบาดระลอกแรกยังคงก่อตัวรุนแรงขึ้นอยู่ พบผู้ป่วยจากไวรัสโคโรนาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นในสหรัฐฯ ตอนตะวันตกและตอนใต้ แม้ว่ามีบางรัฐยกเลิกข้อบังคับต่าง ๆ แล้วก็ตาม และในอินเดียมีรายงานตัวเลขยอดผู้เสียชีวิตแตะ 20,000 คนแล้วเพราะในบางภูมิภาคไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้
สาเหตุที่สอง ความเสี่ยงของการเกิดการระบาดระลองสองก็ยังคงเป็นไปได้สูง อีกทั้งจะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สองสิ่งนี้ทำให้เกิดการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากันในตลาดน้ำมัน ความต้องการของน้ำมันเชื้อเพลิงมียอดการฟื้นตัวสูงสุดเรื่องจากผู้คนหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการขนส่งสาธารณะ แต่อุปสงค์ของโรงงานอุตสาหกรรมและสายการบินยังอ่อนแออยู่
น้ำมันดีเซลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักวงจรธุรกิจเพราะเป็นตัวให้พลังงานหลักแก่อุตสาหกรรมและการขนส่งฟื้นตัวได้ช้าในขณะที่เศรษฐกิจโลกยังเผชิญแรงกดดันเป็นอย่างสูง ที่สำคัญอุปสงค์ของน้ำมันเครื่องบินแทบไม่มีการฟื้นตัวเลย ยังคงอยู่ในจุดเดียวกับจุดสูงสุดในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในไตรมาสที่ 1
การปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมีความเสี่ยงที่จะต้องถูกหั่นลง
ถ้าหากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณหลีกเลี่ยงหุ้นของพลังงานได้ ยังมีอีกความน่ากลัวหนึ่งสำหรับผู้ที่คิดจะซื้อและครอบครองหุ้นพลังงาน นั่นก็คือความไม่แน่นอนในความต่อเนื่องของเงินปันผล การลดลงรุนแรงของราคาน้ำมันในไตรมาสแรกบีบให้ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในสหรัฐฯ จำเป็นต้องพักหรือลดการจ่ายเงินปันผล
ในเดือนเมษายนบริษัท Royal Dutch Shell (NYSE:RDSa) หั่นยอดปันผลของบริษัทเป็นครั้งแรกตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ลดเวินปันผลต่อหุ้นลงกว่า 66% เหลือเพียง 0.32 เหรียญสหรัฐฯ ต่อไตรมาส ในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัทผู้ให้บริการพื้นที่เจาะน้ำมัน Schlumberger (NYSE:SLB) ก็ได้หั่นยอดปันผลของบริษัทลงกว่า 75% โดยเป็นการลดปันผลครั้งแรกใน 4 ทศวรรษเป็นอย่างน้อย และตอนนี้บริษัท Halliburton (NYSE:HAL) ผู้ให้บริการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติก็ได้ออกมากล่าวอย่างชัดเจนว่าพวกเขายังยื้อการลดการปันผลไว้อยู่แต่ก็จะไม่ลังเลที่จะทำหากจำเป็น
Exxon และ Chevron อยู่ในกลุ่มบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ที่ยังคงหลีกเลี่ยงการลดปันผลของตนเองอยู่ แต่สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปหากทั่วโลกยังต้องเผชิญกับการหดตัวของอุปสงค์อีกครั้งหรือประเทศพันธมิตรที่ควมคุมการผลิตในกลุ่ม OPEC+ ยังไม่มีการตัดสินใจที่ชัดเจน
Exxon ถึงกับเตือนนักลงทุนในสัปดาห์ก่อนเลยว่าการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ในวันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคมนี้จะเป็นตัวเลขขาดทุนเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน
การที่ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติยังตกต่ำมีแนวโน้มจะฉุดกำไรของบริษัทลงราว $2,500 ถึง $3,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก บริษัทได้ชี้แจงในรายการประจำเดือน บริษัทย่อยดังกล่าวรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ $536 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Exxon คาดการณ์ว่าเงินที่ต้องใช้เพื่อแปลงน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องได้รับผลกระทบและค่าดำเนินการที่สูงขึ้นในการขนส่งน้ำมันดิบรอบทวีปอเมริกาเหนือจะทำให้กำไรในการกลั่นน้ำมันดิบลดลงราว $800 ล้านเหรียญ ถึง $1,200 ล้านเหรียญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ธุรกิจกลั่นน้ำมันดังกล่าวมีกำไรลดลง $611 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาสแรก หุ้นของ Exxon ปิดตลาดที่ $43.14 เมื่อวาน คิดเป็นตัวเลขการวิ่งทั้งวันลดลงอยู่ที่ 2.59%
โดยสรุปแล้ว
หุ้นน้ำมันในภาพรวมยังดูไม่เป็นจุดที่น่าลงทุนในบรรยากาศภาวะเศรษฐกิจในตอนนี้ ยอดกำไรของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ค่อยๆ ลดลงและยอดปันผลก็ยังถูกกดดันจากเงื่อนไขต่างๆ
บริษัทในกลุ่มดังกล่าวอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงจากภาวะกดดันภายนอกที่รวมถึงการมีอุปทานสูงเกินไปในทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติแปรรูป สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลงตราบใดที่การแพร่ระบาดของไวรัสยังมีอยู่และความต้องการพลังงานของมนุษย์ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่เชื้อเพลิงจากซากพืชซากสัตว์อีกต่อไป