ทันทีที่วิกฤตโรคระบาดอย่างไวรัสโควิด-19 เข้ามาซัดเศรษฐกิจโลกจนต้องลงไปนอนหมอบก็ทำให้สองบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) และดิสนีย์ (NYSE:DIS) จำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดิสนีย์ที่กำลังเริ่มเข้ามาสู่วงการภายนตร์ออนไลน์อาจจะต้องปรับตัวให้รวดเร็วกว่าเดิม
ความจำเป็นต้องอยู่บ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงวิกฤตโรคระบาดเป็นสาเหตุที่ยอดกำไรของธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งเน็ตฟลิกซ์เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ของดิสนีย์แม้จะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่ก่อนแล้ว แต่ธุรกิจที่กระจายความเสี่ยงเหล่านั้นส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากโควิดไม่ว่าจะเป็นสวนสนุกที่กระจายตัวอยู่ในมุมต่างๆ ของโลกต้องถูกสั่งปิด ภาพยนตร์ที่มีโปรแกรมจะเข้าฉายต้องถูกเลื่อนออกไป รายการทีวีที่ถูกยกเลิก
ตลอด 4 เดือนที่เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกร่วมกับโควิดพบว่าในบางพื้นที่ของโลกเริ่มปรับตัวและฟื้นตัวได้บ้างแล้ว บางทีตอนนี้อาจถึงเวลาแล้วที่เราจะมาประเมินความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของหุ้น 2 ตัวนี้ที่ว่ากันว่าคืออนาคตของวงการภาพยนตร์
Netflix กับภารกิจเดินหน้าเพื่อขยายความยิ่งใหญ่
เน็ตฟลิกซ์ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมในปี 2020 เพราะอย่างที่ทราบกันว่าผู้คนจำเป็นต้องอยู่บ้านในช่วงโรคระบาดและในช่วงที่บริษัทต่างๆ ยังรับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้จนก่อให้เกิดการชะงักของการทำงานชั่วคราว จังหวะนั้นคือเวลาที่ผู้คนหันมาใช้ชีวิตกับการดูภาพยนตร์ผ่านเน็ตฟลิกซ์มากขึ้น 
หากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดของหุ้นเน็ตฟลิกซ์เมื่อวันที่ 16 มีนาคมมาจนถึงตอนนี้พบว่าหุ้นเน็ตฟลิกซ์ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากถึง 56% สร้างจุดสูงสุดใหม่เอาไว้ที่ $474.01 ล่าสุดหุ้นเน็ตฟลิกซ์จะปรับตัวลดลง 2.5% มีราคาปิดอยู่ที่ $457.85
ด้วยความสามารถและความเร็วในขาขึ้นของหุ้นเน็ตฟลิกซ์จึงทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มสงสัยว่า “หุ้นเน็ตฟลิกซ์จะสามารถขึ้นไปได้อีกไกลแค่ไหน?” คำตอบที่เราสามารถให้ได้ในตอนนี้คือ “แรงขับของหุ้นเน็ตฟลิกซ์ในตอนนี้จะแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าบริษัทสามารถตีตัวเลขยอดการใช้งานที่ได้จากช่วงที่คนอยู่บ้านออกมาเป็นตัวเลขได้มากแค่ไหน”
เพราะตอนนี้มนุษย์เริ่มกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติแล้วและเน็ตฟลิกซ์ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนข้อมูลที่พูดถึงเป็นสถิติออกมาได้จึงทำให้เกิดพื้นที่ให้นักลงทุนฝั่งขายสามารถเข้าสู่ตลาดได้ เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเน็ตฟลิกซ์เพียงแห่งเดียวแต่ผู้ประกอบการที่ทำเกี่ยวกับความบันเทิงที่ได้เปรียบจากการอยู่บ้านต่างได้รับผลกระทบคล้ายๆ กัน แม้แต่ทางเน็ตฟลิกซ์เองยังออกมาพูดในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ในช่วงปลายเดือนเมษายนว่า “พวกเราคาดว่าจะได้เห็นตัวเลขยอดสมัครสมาชิกลดลงเมื่อการใช้ชีวิตเริ่มกลับมาเกือบจะเป็นปกติ สิ่งที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกเป็นเพียงขาขึ้นชั่วคราว”
ในไตรมาสที่ 1 เน็ตฟลิกซ์ได้แสดงตัวเลขยอดผู้สมัครสมาชิกที่เพิ่มขึ้นมากถึง 15.8 ล้านคน ถือว่าเน็ตฟลิกซ์เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่คนมองหาในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้าง ประกอบกับการสร้างหนังที่เป็นของเน็ตฟลิกซ์เองก็ช่วยทำให้ยอดการใช้งานของเน็ตฟลิกซ์เพิ่มขึ้น
แต่ในแง่ของนักลงทุนแล้วถึงพวกเขาจะมองว่าเน็ตฟลิกซ์เป็นตัวเลือกที่อาจจะยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่ แต่นักลงทุนบางกลุ่มอาจจะเลือกออกจากตลาดเพื่อขอดูสถานการณ์ไปก่อนเพราะตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจจะต้องมีมาตรการบางอย่างมาจัดการกับการแพร่ระบาดรอบ 2 ที่นับวันยิ่งมีแนวโน้มว่าจะกลับมาจริงๆ
Disney กับเส้นทางภาพยนตร์ใหม่ที่ไม่เคยเดินไป
สถานการณ์ฺของดิสนีย์นั้นไม่เหมือนกันกับของเน็ตฟลิกซ์ที่ประสบความสำเร็จไปก่อนแล้วและกำลังเผชิญกับปัญหาวิธีรักษาความสำเร็จนั้น ดิสนีย์แม้จะมีโปรเจ็คขยายไปตัวเองไปยังดินแดนภาพยนตร์สตรีมมิ่งแต่ก็ต้องจัดการกับปัญหาสวนสนุก รีสอร์ทที่ถูกระงับการให้บริการและรวมไปถึงภายนตร์ที่มีโปรแกรมฉายแต่ยังไม่ได้ฉาย
ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่าทิศทางของหุ้นดิสนีย์จะหันไปทางไหนขึ้นอยู่กับว่าภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ ที่ดิสนีย์ไปตั้งสวนสนุกหรือรีสอร์ทอยู่สามารถจัดการควบคุมโรคได้ดีแค่ไหนด้วย อย่างที่รู้กันว่าดีสนีย์แลนด์ในสหรัฐฯ ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 ที่ยังไม่จบลง ยกตัวอย่างเช่นในรัฐฟอร์ริด้าและแคลิฟอร์เนียที่มีรายงานการกลับมาติดเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ แม้แต่เมื่อวานนี้ยังมีรายผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอยู่เลย
ล่าสุดเมื่อวันอังคารดิสนีย์ได้ออกมาประกาศแล้วว่าจำเป็นต้องเลื่อนวันกลับมาเปิดดิสนีย์แลนด์ในรัฐฟอร์ริด้าและแคลิฟอร์เนียออกไปก่อนและคาดว่าจะกลับมาเปิดให้บริการได้ในวันที่ 17 กรกฎาคมซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 ในตอนนั้นด้วยอีกที ปัจจุบันหุ้นดิสนีย์มีราคาปิดอยู่ที่ $112.07 ปรับตัวลดลงเมื่อวานนี้ 3.88% ถือเป็นอีกหนึ่งไตรมาสที่ดิสนีย์ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนนี้ของดิสนีย์ทำให้หุ้นของบริษัทถือว่ามีความเสี่ยงอยู่พอสมควร สิ่งเดียวที่พอจะเป็นเรื่องดีๆ ให้กับดิสนีย์ได้คือธุรกิจภาพยนตร์สตรีมมิ่งที่บริษัทพึ่งเปิดตัวออกมาแข่งขันกับเน็ตฟลิกซ์อย่างดิสนีย์+ (Disney+)
จากข้อมูลของเดือนพฤศจิกายนปี 2019 ในช่วงเวลาที่ดิสนีย์+ เปิดตัวพบว่ามีสมาชิกอยู่ที่ 56 ล้านคน แม้จะเป็นการเปิดตัวที่ดีและมีนัยสำคัญ แต่ดิสนีย์+ ก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการพิสูจน์ตัวเองกับคุณภาพภาพยนตร์ในดิสนีย์+ รวมไปถึงแผนการขยายบริการไปยังพื้นที่ต่างๆ ในโลกซึ่งถือว่าดิสนีย์เดิมเกมได้ล่าช้าอยู่พอสมควร
โดยสรุปแล้ว
จากบทความนี้เราสามารถสรุปได้ว่าทั้งสองยักษ์ใหญ่ต่างมีปัญหาระยะสั้นในรูปแบบของตัวเอง แต่ในระยะยาวทั้งคู่ต่างก็มีปัญหาที่ดูเหมือนว่าดิสนีย์จะเจอปัญหาที่หนักยิ่งกว่า ถึงกระนั้นการลงทุนในหุ้นดิสนีย์เหมาะสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในประวัติศาสตร์ของบริษัทว่าสุดท้ายดิสนีย์จะสามารถกลับมาและเติบโตได้ หากมองว่าตอนนี้คือโอกาสของการช้อนซื้อหุ้นดิสนีย์ในราคาถูกก็คงจะไม่ผิด