เชื่อว่าในตอนนี้โควิด-19 ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมนุษย์และตลาดลงทุนแล้วแต่กลายเป็นว่านักลงทุนกำลังให้ความสนใจกับปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ - จีนที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดกับกรณีที่จีนพยายามที่จะออกกฎหมายควบคุมฮ่องกงยิ่งทำให้สหรัฐฯ ไม่ถูกใจกับการกระทำของจีนและเป็นไปได้ว่าฮ่องกงกำลังจะกลายเป็นสมรภูมิตัวแทนการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ - จีน
นอกจากความเป็นกังวลกับสถานการณ์ในฮ่องกงแล้วนักลงทุนยังเป็นห่วงว่าสหรัฐฯ - จีนจะยิ่งเล่นเกมการขึ้นภาษีสินค้ากันแพงขึ้น สร้างผลกระทบที่ทวีความรุนแรงจากวิกฤตโควิด-19 หนักเข้าไปอีก ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง บริษัทที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีทางการค้าย่อมมีความได้เปรียบและในบทความนี้เราจะมาดู 3 บริษัทที่น่าสนใจกัน
1. Facebook
เฟสบุ๊ก (NASDAQ:FB) ถือเป็นบริษัทอันดับต้นๆ ที่มีความได้เปรียบและไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากนักเพราะบริษัทไม่ได้พึ่งพากระบวนการผลิต โรงงาน หรือซัพพลายเออร์ต่างๆ จากต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ยิ่งไปกว่านั้นเฟสบุ๊กยังถือเป็น 1 ใน 5 เทพหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (FAANG) ที่มีส่วนผลักดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันอีกด้วย
ปี 2019 หุ้นเฟสบุ๊กปรับตัวขึ้นเกือบ 28% ทำผลงานได้ดียิ่งกว่าดัชนี S&P 500 ที่ช่วงเวลาเดียวกันทำผลงานได้เพียง 6% หุ้นเฟสบุ๊กเคยสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $240.90 ล่าสุดมีราคาปิดอยู่ที่ $229.14 และมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $661,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ไม่ต้องสืบทุกคนก็ทราบดีว่าแอปพลิเคชันในเครือของเฟสบุ๊กทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น Instagram หรือ Messenger ล้วนแล้วถูกแบนไม่ให้สามารถใช้ได้ในประเทศจีน แต่ถึงอย่างนั้นบริษัทโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ก็ยังสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จากที่เฟสบุ๊กเคยรายงานปัจจุบันเขามีผู้ใช้งานเฉพาะเฟสบุ๊กรวมแล้วทั้งสิ้น 3 พันล้านคนและ 2.9 พันล้านคนคือผู้ใช้งานแอปพลิเคชันของบริษัทเฟสบุ๊กมากกว่า 1 แอปพลิเคชัน นี่คือข้อมูลรายงานการใช้งานในแต่ละเดือนของไตรมาสที่ 1 ปี 2020
ในการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสรอบล่าสุดเมื่อวันที่ 29 เมษายน เฟสบุ๊กก็ยังสามารถทำตัวเลขชนะการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ไปได้ อย่างไรก็ตามเฟสบุ๊กยอมรับว่าตัวเลขผลกำไรที่ได้จากการเปิดพื้นที่รับฝากโฆษณาค่อนข้างคงที่ในช่วงสามสัปดาห์แรกของเดือนเมษายนเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะบริษัทที่ฝากโฆษณาบนเฟสบุ๊กต่างก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ในช่วงเดือนมีนาคม
อย่างไรก็ตามเฟสบุ๊กไม่หยุดความคิดสร้างสรรค์ในช่วงวิกฤตโรคระบาด ล่าสุดบริษัทพึ่งปล่อย “Facebook Shops” ที่พวกเขาเชื่อว่าจะสามารถทำให้ผู้ใช้งานเฟสบุ๊กทุกคนสามารถกลายเป็นพ่อค้าแม่ขายที่จะสามารถขายของอะไรก็ได้ตามต้องการ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO ของเฟสบุ๊กเชื่อว่า Facebook Shops จะสามารถช่วยธุรกิจรายย่อยให้สามารถทำมาค้าขายท่ามกลางช่วงเวลาวิกฤตที่หน้าร้านปกติไม่สามารถเปิดขายของได้
2. Square
ผู้ให้บริการดำเนินธุรกรรมการชำระเงิน Square (NYSE:SQ) ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในอันดับต้นๆ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ - จีน Square คืออีกหนึ่งธุรกิจที่ไม่ง้อประเทศจีนแต่เปิดให้บริการกับลูกค้าในหลายๆ ประเทศเช่น สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร
Square ถือเป็นอีกหนึ่งลูกรักของ CEO ทวีตเตอร์แจ็ค ดอร์ซีย์ซึ่งผลงานที่ Square ทำได้ไม่ถือว่าน้อยหน้าทวิตเตอร์แต่อย่างใด ล่าสุดหุ้น Square ปรับตัวขึ้นมา 26% ในช่วงเวลา 12 เดือนล่าสุด ทำผลงานได้ดีกว่าดัชนี S&P 500 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีราคาล่าสุดอยู่ที่ $81.02 ห่างจากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ $87.25 ไม่มากนัก มีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $35,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้รายงานตัวเลขผลประกอบการเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมในไตรมาสที่ 1 จะลดลงอย่างน่าประหลาดใจแต่บริษัทก็พบว่าบริการขายหน้าร้าน (POS Service) มีกำไรเติบโตขึ้น 112% แบบปีต่อปีเมื่อบริษัทได้ทำการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่เข้าไปนั่นก็คือระบบการชำระเงินดิจิทัลช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐได้อย่างง่ายดายผ่าน Cash App ทำให้ Square กลายเป็นตัวเลือกทางการเงินยุคใหม่ที่มีปริมาณการฝากเงินโดยตรงสูงสุดในเดือนเมษายน
CEO บริษัทกล่าวในการรายงานผลประกอบการว่า “ระบบการฝากเงินโดยตรงเป็นการเพิ่มโอกาสใหม่ให้กับผู้ใช้งานใน Square สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทได้อย่างง่ายดาย”
3. Electronic Arts
บริษัทผู้พัฒนาเกมซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการเกมสั้นๆ ว่า “EA” (NASDAQ:EA) แม้แต่วงการเกมก็ยังไม่ได้รับการยกเว้นจากประเทศจีนทำให้ยอดขายส่วนใหญ่ของเกม EA จึงอยู่ในสหรัฐ ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาถือเป็นช่วงนาทีทองของวงการเกมอย่างมากเมื่อไวรัสโคโรนาเข้ามาและทำให้ผู้คนไม่สามารถออกไปหาความบันเทิงนอกบ้านได้ นอกจากชมภาพยนตร์แล้วเกมถือเป็นอีกทางเลือกแห่งความผ่อนคลายหนึ่งซึ่งยอดขายเกมของ EA ในสหรัฐฯ ช่วงเดือนมีนาคมทำตัวเลขสูงที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี
ตลอดทั้งปี 2019 หุ้น EA ปรับตัวสูงขึ้น 26% มีราคาล่าสุดอยู่ที่ $117.38 โดยมีจุดสูงสุดที่พึ่งขึ้นไปแตะได้ในรอบ 52 สัปดาห์อยู่ที่ $121.75 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ปัจจุบัน EA มีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $33,700 ล้านเหรียญสหรัฐ
ล่าสุด EA พึ่งรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2020 ไปเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมซึ่ง EA มีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $1.07 ดีกว่าที่คาดการณ์ $0.97 และตัวเลขยอดขายในไตรมาสสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ $1,180 ล้านเหรียญสหรัฐไปได้ที่ $1,210 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัท EA บอกว่าตัวเลขกำไรที่เพิ่มขึ้นได้มาจากบริการไลฟ์สดซึ่งรวมไปถึงบริการสมัครสมาชิกเพื่อซื้อเกมภายใน EA Access ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 17% จากตัวเลขยอดกำไรเดิมเมื่อปีที่แล้วคิดเป็น $832 ล้านเหรียญสหรัฐ
ผลประกอบการที่ดีขึ้นสร้างความมั่นใจให้กับ EA เป็นอย่างมาก พวกเขาได้มองไปถึงปีหน้าแล้วโดยคาดการณ์ว่าตัวเลขผลประกอบการในปี 2021 จะมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.35 และมีตัวเลขยอดกำไรรวมอยู่ที่ $5,550 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ $5,370 ล้านเหรียญสหรัฐ