ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประสบความยากลำบากในการพยุงแนวโน้มขาขึ้นเอาไว้หลังจากที่ตลาดดีดตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของเดือนมีนาคม ตอนนี้โลกเรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคหลังโควิดและไม่มีใครสามารถประเมินเศรษฐกิจในยุคหลังจากนี้ได้ว่าจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร นักลงทุนเริ่มหันไปให้ความสนใจประเด็นทางการเมืองระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่เหมือนกำลังอยากจะจุดฉนวนสงครามการค้ากับจีนขึ้นมาอีก เขายังคงต่อว่าจีนอย่างต่อเนื่องว่าเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาในครั้งนี้
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า “รัฐบาลกำลังมุ่งเป้าไปยังการสกัดเทคโนโลยีของบริษัทหัวเว่ย (Huawei) และห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐฯ ใช้เทคโนโลยีของหัวเว่ยเด็ดขาด ” เพื่อเป็นการตอบโต้นายหู ซี่จิน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Global Times ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทวีตตอบโต้สหรัฐฯ ว่าจะมีการตรวจสอบและเข้มงวดกับบริษัทของสหรัฐฯ ที่เข้ามาค้าขายในจีนเช่น Qualcomm (NASDAQ:QCOM), Cisco Systems (NASDAQ:CSCO) และ Apple (NASDAQ:NASDAQ:AAPL) จะเกิดขึ้นเช่นกันหากสหรัฐฯ ใช้มาตรการในการสกัดกั้นหัวเว่ยเพิ่มเติม
แม้สัปดาห์นี้จะยังมีบริษัทที่รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2020 ไม่หมดแต่เราเชื่อว่าความสนใจของตลาดจะหันไปยังความสัมพันธ์ทางการค้าสหรัฐฯ - จีนและความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนา เช่นเคยเราได้นำหุ้นที่น่าสนใจ 3 ตัวที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้มาให้ผู้อ่านได้พิจารณา
1. Walmart
บริษัทร้านค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของอเมริกาอย่าง Walmart (NYSE:WMT) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2020 ในัวีนอังคารที่ 19 พฤษภาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Walmart จะมีตัวเลขปันผลต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $1.13 และมีตัวเลขยอดทำกำไรรวมทั้งสิ้น $131,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่คนเป็นกังวลว่าจะขาดแคลนข้าวปลาอาหารและร้านค้าปลีกต่างก็พากันปิดตัวเพราะมาตรการล็อกดาวน์ แต่ Walmart ก็ยังสามารถทำให้ร้านค้ารายย่อยของตัวเองเอาตัวรอดไปได้และยังคงเป็นที่ดึงดูดสำหรับผู้บริโภค
การลงทุนเปลี่ยนรูปแบบการตลาดของบริษัทเข้าสู่โลกแห่ง e-commerce มากขึ้น ระบบการจัดการที่ใส่ใจสุขภาพของลูกค้าและพนักงานมากถึง 1.5 ล้านคนคือสิ่งที่ทำให้ Walmart แตกต่างจากร้านค้าปลีกรายอื่นและกลายเป็นซัพพลายทางด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ นักวิเคราะห์คาดว่าในไตรมาสนี้นักลงทุนจะยังคงได้เห็นตัวเลขผลประกอบการและยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หุ้น Walmart จะเติบโตขึ้น 6% ในปีนี้ มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 2% โดยมีราคาอยู่ที่ $125.94
ตัวเลขเปรียบเทียบยอดขายและการขยายธุรกิจออนไลน์ของ Walmart คือสองปัจจัยที่นักลงทุนต้องจับตามองในการรายงานผลประกอบการ
2. NVIDIA
หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ NVIDIA (NASDAQ:NVDA) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่า NVIDIA จะมีตัวเลขปันผลต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $1.66 และมีตัวเลขยอดทำกำไรรวมทั้งสิ้น $2,970 ล้านเหรียญสหรัฐ
หุ้นของ NVIDIA ยังสามารถทรงตัวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้ในปีนี้หลังจากที่ปี 2019 ทะยานขึ้น 76% แม้ว่าบริษัทจะต้องได้รับผลกระทบจากปัญหาการถดถอยทางเศรษฐกิจในระยะยาวก็ตาม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของ NVIDIA พึ่งจะขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่หลังจากปรับตัวขึ้นมาแล้ว 44% ตลอดทั้งปี 2020 ทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ฟิลาเดเฟียที่ปรับตัวลดลง 9.4% ในปีนี้เสียอีก ล่าสุดหุ้น NVIDIA มีราคาปิดอยู่ที่ $339.63 เมื่อวันศุกร์หลังจากปรับตัวขึ้นมาตลอดทั้งไตรมาส 6%
จริงอยู่ว่า NVIDIA ย่อมต้องได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เมื่อร้านค้าตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ต่างๆ ถูกสั่งปิดแต่นักวิเคราะห์ให้ความสนใจไปที่งบการเงิน สภาพคล่องและผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ยังคงเป็นจุดแข็งและจุดขายของ NVIDIA
นอกจากนี้ชิปของ NVIDIA ยังเป็นที่ต้องการมากในผู้บริโภคหรือลูกค้าที่นำผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปให้กับการทำแอปพลิเคชันทางการแพทย์และโควิด-19 ก็ทำให้ความต้องการชิปเพื่อใช้กับระบบคลาวด์เพิ่มมากขึ้น
3. Alibaba
Alibaba (NYSE:BABA) บริษัท e-commerce สัญชาติจีนยักษ์ใหญ่จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ในวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่า NVIDIA จะมีตัวเลขปันผลต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $0.83 และมีตัวเลขยอดทำกำไรรวมทั้งสิ้น $117,980 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายงานผลประกอบการของบริษัท Alibaba จะช่วยให้นักลงทุนได้เห็นตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวจีนว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นหรือไม่ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 หลังจากที่จีนก็กำลังพยายามฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดให้ได้เร็วที่สุด
สำหรับปี 2020 จนถึงปัจจุบันหุ้น Alibaba ปรับตัวลดลงมา 4% มีราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาล่าสุดอยู่ที่ $203.68 ไม่ต่างกับบริษัทใหญ่ในสหรัฐฯ อย่างเช่น Amazon (NASDAQ:AMZN) หรือ Alphabet บริษัทแม่ของ Google (NASDAQ:GOOGL) บริษัท Alibaba กำลังลงทุนอย่างมหาศาลในระบบคลาวด์เพื่อขยายส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเองออกไป
บริษัทมีแผนที่จะลงทุน 200,000 ล้านหยวน ($2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์อย่างเช่นระบบศูนย์กลางข้อมูลที่วางแผนว่าจะทำให้เสร็จภายใน 3 ปี พวกเขาเชื่อว่าการลงทุนนี้จะทำให้ธุรกิจของ Alibaba สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น