1Q20 รายงานกำไรสุทธิ 1,016 ลบ. (-20%YoY, - 4%QoQ
ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (BK:TU) รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q20 มีกำไรสุทธิที่ 1,016 ลบ. ( - 2 0%YoY, - 4%QoQ) แต่หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีจำนวน 262 ลบ. และผลขาดทุนจาก กิจการที่ยกเลิก 6 ลบ. กำไร จะอยู่ที่ระดับ 1,285 ลบ. ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษที่ระดับ 1,301 ลบ. ซึ่งสาเหตุหลักที่ลดลงคือส่วนแบ่ง จากเงินลงทุนที่รับรู้เข้ามาเป็นขาดทุน 18 ลบ. จากที่รับรู้กำไร 347 ลบ.ใน 1Q19 และขาดทุนลดลงจาก 66 ลบ. ใน 4Q19 เพราะทาง Red Lobster มีผลขาดทุนเข้ามากว่า 111 ลบ.
(1Q19 รับรู้กำไรเข้ามา 144 ลบ. ส่วน 4Q19 ขาดทุน 243 ลบ.) หลังจากต้องปิดไปจากมาตรการล๊อกดาวน์ของภาครัฐ แต่กำไรที่ออกมาถือว่าดีกว่า ที่เราคาดไว้ (เราคาดไว้ที่ 899 ลบ.) จากรายได้ที่ออกมาสูงกว่าคาด ซึ่งผลกระทบจาก COVID -19 ทำให้ธุรกิจอาหารแปรรูป (Ambient) ที่นำโดยธุรกิจปลาทูน่าที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้กว่า 16%YoY, 18%QoQ ส่วนธุรกิจอาหารแช่แข็ง (Frozen & Chilled) ได้รับผลกระทบจากร้านอาหารที่ปิดไปน้อยกว่าที่คาดโดยรายได้ลดลงเพียง 5%YoY,26%QoQ (ส่วนธุรกิจอาหารสัตว์และอื่นๆเพิ่มขึ้น 3%YoY แต่ลดลง 8%QoQ) รวมแล้วมีรายได้อยู่ที่ 31,103 ลบ. (+6%YoY, - 5%QoQ สาเหตุที่ลดจาก 4Q19 เพราะเป็นผลตามฤดูกาล)
กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16.2% ดีขึ้นจาก 14.9% ใน 1Q19 และ 16.1% ใน 4Q19 เนื่องจากกำไรขั้นต้นธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารสัตว์ปรับตัวดีขึ้นตามต้นทุนปลาทูน่าที่ลดลง แม้ว่าจะมีการบันทึกผลขาดทุนจากสินค้าคงเหลือในสินค้ากลุ่มอาหารแช่แข็งเข้ามากว่า 150 ล้านบาทก็ตาม ค่าใช้จ่าย นการขายและบริหารอยู่ที่ 3,511 ลบ. (+ 4%YoY, - 6%QoQ) ดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 434 ลบ. ( - 1 8%YoY, -14%QoQ) หลังจากออก Perpetual Bond ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ภาษีจ่ายที่ 149 ลบ. (+449%YoY,+32%QoQ) เพราะธุรกิจที่ยุโรปมีกำไรมากขึ้น
2Q20 ธุรกิจอาหารกระป๋องยังไปได้ดี
แนวโน้มในช่วง 2Q20 ในแง่การขายสินค้ากลุ่มอาหารแปรรูปอย่างทูน่ากระป๋องยัง เห็นการเติบโตได้ต่อเนื่องทั้งที่ยุโรปและที่สหรัฐฯ จากมาตรการล๊อกดาวน์ของหลายๆประเทศ ส่วนผลกระทบจากสินค้าในกลุ่ม Frozen ยังคงมีอยู่เหมือนในช่วง 1Q20 เช่นกัน ทั้งนี้หากรัฐบาลในหลายๆประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล๊อกดาวน์ คาดว่าจะทำให้ความต้องการอาหารแช่แข็งกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ สำหรับมาตรการอื่นๆ ที่ใช้ในช่วงที่เกิดโรค COVID ได้แก่การปรับลดงบลงทุนลง 25% เพื่อรักษาสภาพคล่องให้มากที่สุด (เดิมตั้งงบลงทุนที่ 4,900 ลบ.) ปรับแผนการบริหารวัตถุดิบให้สอดคล้องกับความต้องการซื้อของลูกค้า
ด้าน Red Lobster ที่มีการปิดสาขาไปทั้งหมดล่าสุดมีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มว่า ภายในบริษัทมีการปรับแผนธุรกิจใหม่โดยหันมาเน้นสินค้าสำหรับนำกลับมากขึ้นโดยมีร้านค้าประมาณ 60% ที่สามารถทำได้ (ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 300% แต่ในแง่มูลค่า ยังไม่มากนัก) รวมถึงพยายามลดต้นทุนต่างๆลงให้มากที่สุดล่าสุดลดลงได้แล้วกว่า 8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ/สัปดาห์ ขณะที่ฐานะการเงินปัจจุบันมีเงินสดเหลืออยู่ประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพื่อใช้ดำเนินงาน ทั้งนี้ปัจจุบันทางร้านมีการเตรียมพร้อมที่ จะกลับมาเปิดใหม่อีกครั้้งหากรัฐบาลมีการผ่อนคลายมาตรการล๊อกดาวน์ดังกล่าว
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ cgsec.co.th