กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการระบาดของ COVID-19 จะกดดันให้เศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตที่หนักสุดตั้งแต่ปี 1930 โดย IMF มองว่าเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลงถึง 3.0% ในปีนี้ แย่ลงจากการคาดการณ์ที่เคยมองไว้ในเดือนมกราคมว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 3.3%
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเกิดขึ้นทั่วโลก แต่จะหนักสุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Advanced Economies) ตามความรุนแรงของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปีนี้ ทำให้เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วหดตัวถึง 6.1% ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา (Emerging Market & Developing Economies) กลับหดตัวเพียง 1.0%
อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19คลี่คลายลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี IMF มองว่า เศรษฐกิจโลกจะกลับมาโตได้ 5.8% นำโดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ EM ที่จะขยายตัวถึง 6.6% พร้อมกับเศรษฐกิจพัฒนาแล้วที่จะกลับมาขยายตัวได้ 4.5%
เรามองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจดังกล่าวชี้ชัดว่า โอกาสการลงทุนจะอยู่ในตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ อาทิ หุ้นและตราสารหนี้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันค่าเงินตลาดเกิดใหม่ก็จะกลับมาแข็งค่าได้
Next IMF WEO: Mid October 2020
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลก (Global GDP) ในปีนี้เป็น -3.0% จากคาดการณ์เดิมในเดือนมกราคมที่ +3.3%
IMF มองการระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสร้างความตึงเครียดในตลาดการเงินอย่างหนัก ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ที่เศรษฐกิจจะหดตัวถึง 6.1% ในปีนี้ ซึ่งมาจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวถึง 5.9% ขณะเดียวกันเศรษฐกิจยูโรโซนก็ยังหดตัวราว 7.5% อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่และกำลังพัฒนา (EM) กลับหดตัวเพียง 1.0% หนุนโดยเศรษฐกิจจีนที่ยังคงโตได้ 1.2% และเศรษฐกิจอินเดียที่ขยายตัวราว 1.9%
อย่างไรก็ดี IMF มองเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวดีขึ้นและกลับมาโตได้ถึง 5.8% ในปีหน้า บนสมมติฐานว่าการระบาดของ COVID-19 เริ่มสงบลงในครึ่งหลังของปีและมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด หนุนโดยการขยายตัวราว 6.6% จากฝั่งเศรษฐกิจ EM นำโดยเศรษฐกิจจีนที่จะโตถึง 9.2% ขณะที่เศรษฐกิจ DM จะพลิกกลับมาขยายตัวได้ 4.5% จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯและยูโรโซนจะกลับมาโตถึง 4.7%
เราเชื่อว่า ภาพเศรษฐกิจ EM ที่ดูดีกว่า DM ทั้งในปีนี้และปีหน้าจะเป็นปัจจัยบวกหนุนให้สินทรัพย์ในฝั่ง EM
ตลาดมีแนวโน้มกลับมาลงทุนในฝั่ง EM มากขึ้น ตามภาพเศรษฐกิจที่ไม่ได้ซบเซาหนักเท่าฝั่ง DM
โดยเฉพาะในฝั่งจีนที่สามารถควบคุมการระบาดของ COVID-19 ได้ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น และจะเป็นปัจจัยบวกหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชีย ขณะเดียวกันสภาพคล่องในตลาดการเงินที่สูงขึ้นจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงมากก็จะยิ่งหนุนให้เงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ไหลกลับสู่ตลาด EM ส่งผลดีต่อราคาหุ้น ตราสารหนี้ รวมถึงค่าเงิน EM