วิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” ที่จู่โจมรุนแรงเกินกว่าที่คาดคิด นอกจากจะทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนไป ดิฉันเชื่อว่า วิกฤติครั้งนี้ยังทำให้ทัศนคติเกี่ยวกับ เงิน ของผู้คนเปลี่ยนไปด้วย
เราเห็นนักลงทุนจำนวนไม่น้อยเทขายสินทรัพย์ที่ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือตราสารหนี้ เพื่อถือครอง “เงินสด” ไว้ให้ได้มากที่สุด สะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในไตรมาสแรกที่ดัชนีราคาหุ้นปรับตัวลดลงถึง 29.45% จากดัชนีราคาหุ้นปิดตลาดวันแรกของปี (2 ม.ค.63) ที่ระดับ 1,595.82 จุด มาปิดวันสุดท้ายของไตรมาสแรก (31 มี.ค.63) ที่ระดับ 1,125.86 จุด
รวมถึงการเทขายกองทุนตราสารหนี้อย่างหนัก ทั้งๆ ที่ตราสารหนี้ที่กองทุนเข้าไปลงทุนอยู่ในระดับ “ลงทุนได้” หรือ Investment grade แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็พร้อมใจขาย เพราะต้องการ “รักษาเงินสด” ในมือให้มากที่สุด
ในขณะที่การผ่องถ่ายสินทรัพย์ต่างๆ เป็นเงินสด ทำให้ราคาสินทรัพย์ลดลง เพื่อดึงเงินเก่ากลับมาเก็บ (ยกเว้นทองคำที่ในไตรมาสแรกยังให้ผลตอบแทนราว 15% จากราคาวันปิดตลาดวันแรกของปีที่ 21,700 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาท ขยับมาเป็น 24,950 บาทในวันสิ้นไตรมาส เพิ่มขึ้นบาทละ 3,250 บาท)
ในส่วนของ “เงินใหม่” ก็ไม่มีเข้ามาเติม สังเกตได้จากการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้เก่า จากภาวะปกติที่ผู้ถือหุ้นกู้เดิมจะ “โรล” หรือลงทุนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ก็กลับกลายเป็นว่า หุ้นกู้ใหม่ที่ออกมาเพื่อ “โรล” หุ้นกู้เก่าเริ่มติดขัด เพราะนักลงทุนไม่ยอมเติมเงินใหม่เข้าไป
โลกของการลงทุน เราจึงเห็นการ “ถือครองเงินสด” มากขึ้น ขณะที่ในโลกของการจับจ่ายใช้สอยทั่วไป ประชาชนก็เน้นกินใช้เท่าที่จำเป็น เก็บออมมากขึ้น และพยายามถือเงินสดมากขึ้นเช่นเดียวกัน
- ความสำคัญของเงินสำรอง 6-12 เท่าจะเพิ่มขึ้น
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่โควิด-19 ทำให้ความสำคัญของการสำรอง เงิน เพื่อใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เพราะวิกฤติที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้เกิดภาวะ “รายได้หายไปฉับพลัน” หรือ Income Shock ดังนั้น สำหรับคนที่เตรียมตัวมาดี โดยมีเงินสำรองอย่างน้อย 6 เท่าของรายจ่าย จะพอเอาตัวรอดได้ เพราะเงินสำรองทำให้เรามีกิน มีใช้ และมีเพียงพอสำหรับการชำระหนี้อย่างน้อย 6 เดือน แต่ถ้ากินน้อยหรือใช้น้อยกว่าปกติ และมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ตามปกติ ก็อาจจะทำให้เรารับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ยาวนานกว่านั้น
หลายคนอาจจะเคยเทียบเคียงระหว่างวิกฤติโควิด-19 กับวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ว่า ผลกระทบครั้งนี้หนักกว่า และเราไม่สามารถใช้ประสบการณ์เมื่อ 23 ปีที่แล้วมารับมือกับวิกฤติครั้งนี้ ดิฉันได้แอบเถียงเบาๆ ในใจ ในฐานะที่เป็นผู้ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ว่า ประสบการณ์ที่เราสามารถนำมาใช้ได้กับวิกฤติครั้งนี้ คือ เมื่อเราผ่านปี 2540 มาแล้ว เราจะมีภูมิต้านทานด้านการกินน้อย ใช้น้อย สร้างหนี้น้อยๆ และเก็บออมมากขึ้น
ได้แต่หวังว่า คนที่เคยผ่านวิกฤติปี 2540 จะมีภูมิคุ้มกันสำหรับวิกฤติครั้งนี้ ส่วนใครที่เพิ่งเคยเจอวิกฤติเป็นครั้งแรก หลังจากนี้ก็หวังว่า ท่านจะมีสร้างภูมิเรื่องเงินสำรอง 6 เท่า หรืออาจจะมากถึง 12 เท่าในการรับมือวิกฤติครั้งต่อไป
- ความสำคัญของการควบคุมรายจ่ายจะเพิ่มขึ้น
ประสบการณ์เลวร้ายที่หลายคนได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 คือ รายได้หายไปแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะอยู่ๆ ห้างสรรพสินค้าถูกปิด ร้านตัดผมก็ต้องปิด ร้านอาหารแม้จะเปิดขายได้ แต่ก็ห้ามนั่งทานที่ร้าน ต้องซื้อไปทานที่บ้านเท่านั้น หลายคนตัดสินใจปิดร้าน แม้กระทั่งคนขายล็อตเตอรี่ก็ยังเดือดร้อน เพราะสำนักงานสลากกินแบ่งประกาศเลื่อนการออกหวย เรื่องนี้ทำให้เราตระหนักรู้ว่า “รายได้” ไม่ใช่สิ่งที่เรากำหนด แต่เป็นคนอื่นที่กำหนดให้เรา สิ่งที่เรากำหนดได้ด้วยตัวเองคือ “รายจ่าย” ค่ะ
ถ้าก่อนหน้านี้ เราควบคุมรายจ่ายได้ เราจะเดือดร้อนน้อย แต่ถ้าควบคุมรายจ่ายไม่ได้ เราก็จะเดือดร้อนมาก
และเหมือนกับที่เคยเขียนก่อนหน้านี้ด้วยว่า “รายได้” ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่า เราเป็นคนรวยหรือคนจน เพราะถึงเราจะมีรายได้เดือนละ 1 แสนบาท แต่ถ้าเราใช้จ่ายเดือนละ 1.5 แสน ก็เท่ากับเราเป็นคนจนคนหนึ่งที่เงินไม่เคยพอใช้ ขณะที่บางคนมีรายได้เดือนละ 2 หมื่นบาท แต่ใช้จ่ายแค่เดือนละ 1 หมื่นบาท แบบนี้จะไปบอกว่า เขาจนกว่าคนมีรายได้เดือนละแสนได้อย่างไร ดังนั้น ‘รายจ่าย‘ จึงเป็นตัวกำหนดความยากดีมีจน ตราบใดที่กินใช้เกินฐานะ ต่อให้มีเงินมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีโอกาส “รวย“
หลังจาก โควิด-19 ผ่านไป เราจะต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมรายจ่าย ที่เราเป็นคนกำหนดเองให้มากขึ้นค่ะ
- ความสำคัญของการใช้เงินออนไลน์จะเพิ่มขึ้น
เพราะโควิด-19 จะทำให้เราลดใช้เงินสดเพื่อลดการสัมผัส ลดการใช้ตู้เอทีเอ็มสาธารณะ ที่อาจจะเป็นแหล่งกระจายเชื้อโรค รวมถึงลดการเดินทางไปใช้บริการที่แบงก์ ซึ่งอาจจะมีความแออัด เราจะเรียนรู้การใช้เงินออนไลน์ ทั้งโอนเงิน ชำระ เงิน รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น
ข้อควรระวังสำหรับเรื่องนี้ คือ ต้องหมั่นตรวจสอบบัญชีต่างๆ ให้ดีค่ะ ถ้าพบว่ามีรายการผิดปกติต้องแจ้งสถาบันการเงิน รวมถึงต้องระมัดระวังเรื่องอีเมล์ หรือข้อความหลอกลวงต่างๆ เพื่อล้วงข้อมูลส่วนตัวของเรา และสุดท้าย คือ ความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยอาจจะทำให้เรายับยั้งชั่งใจน้อยลง ต้องระวังเรื่อง “ซื้อง่าย จ่ายคล่อง” ไว้ให้มากๆ ค่ะ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ Businesstoday