- การปรับตัวขึ้นมาของตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปี 2020 หมดสิ้นเพราะไวรัสโคโรนา
- ดอลลาร์อ่อนมูลค่าลง
- ราคาทองคำและราคาขายพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นจนเกือบถึงจุดสูงสุดของราคาในรอบหลายปี
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาการปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2020 ของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ หลักๆ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีดาวโจนส์ S&P 500 แนสแด็กและ Russell 2000 มลายหายหมดสิ้นเนื่องจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบลงง่ายๆ ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ทำผลงานได้ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2019
เมื่อหุ้นในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่กอดคอกันลดลงจึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะเห็นราคาทองคำ สกุลเงินเยนและราคาขายพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นในช่วงก่อนปิดสิ้นเดือนมกราคม ตราบเท่าที่การแพร่ระบาดยังคงเพิ่มมากขึ้นและมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้่นเรื่อยๆ เราเชื่อว่าในสัปดาห์นี้ตลาดลงทุนยังคงจะอยู่ในความผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็กใหญ่ต่างทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
แม้ว่าประเทศจีนจะออกมาตรการตรวจสอบและระงับการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวดมากเท่าใด การแพร่ระบาดยังคงเกิดขึ้นและดำเนินต่อไปด้วยจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ตอนนี้มากขึ้นกว่า 14,000 รายแล้ว นอกจากนี้ยังพบผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีนอย่างฟิลิปปินส์เป็นครั้งแรกซึ่งส่งผลให้ยอดจำนวนรวมผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 304 รายเมื่อวันเสาร์ ล่าสุดองค์กรอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ไวรัสโคโรนาเป็นภาวะฉุกเฉินของโลกเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ข้ามไปที่ฝั่งสหรัฐฯ ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ดังเดิมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพร้อมกับแสดงความผิดหวังที่อัตราเงินเฟ้อไม่สามารถขึ้นไปถึงเป้า 2% ตามที่ตั้งไว้ได้ อย่างไรก็ตามตัวเลขการเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 4 ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.1% แม้ว่ายอดตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะลดลง การลงทุนในที่อยู่อาศัยยังคงที่ การใช้จ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้น รายงานตัวเลขขาดดุลทางการค้าลดลง ข้อมูลเหล่านี้ล้วนสนับสนุนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้ต้องเผชิญโคโรนา
ถึงกระนั้นในวันศุกร์สุดท้ายของสัปดาห์ ตลาดหลักทรัพย์และดัชนีหลักๆ ของสหรัฐฯ ต่างพากันปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเอกชนเล็กหรือใหญ่หุ้นของบริษัทเหล่านั้นต่างพากันลดลง ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน เฉลี่ยแล้วทุกตัวปรับตัวลดลง 2% ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงมากกว่า 600 จุด
เหตุการณ์นี้ถือเป็นการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่สองของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลอดหนึ่งเดือนที่ตลาดได้ปรับตัวขึ้นมานับตั้งแต่ปีใหม่ 2020 ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและดูเหมือนมีแนวโน้มจะแย่ลงกว่าเดิมเพราะนักลงทุนยังเป็นกังวลเกี่ยวกับความเข้มงวดในการเดินทาง ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะประเทศจีนที่หลายๆ ประเทศสั่งห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปยังประเทศจีนและจีนเองก็ไม่ให้ประชาชนของตนออกนอกประเทศเช่นกัน
จากกราฟจะเห็นได้ว่าดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าเส้นเทรนไลน์ขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดของราคาในวันที่ 3 ตุลาคม อินดิเคเตอร์ทั้ง MACD และ RSI ล้วนแล้วส่งสัญญาณขาลงแล้ว เชื่อว่ากราฟจะสามารถทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50DMA ลงมาได้ไม่ยากและราคาอาจลงมาทดสอบจุดสูงสุดของเดือนพฤศจิกายนที่ระดับราคา 3,100
กราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลแบบ 10 ปีปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1.50 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของราคานับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน ถ้าราคาสามารถปรับตัวลดลงไปต่ำกว่าระดับ 1.45 ได้จะเป็นการสร้างจุดต่ำสุดต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฏาคมปี 2016 ในทางเทคนิคแล้วกราฟเปลี่ยนเป็นขาลงอย่างชัดเจนซึ่งสามารถทะลุเทรนไลน์ขาลงที่ลากมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2018 และเส้นค่าเฉลี่ยทั้งสามกำลังจะตัดกันอีกครั้งเพื่อยืนยันสัญญาณขาลง
ดัชนีดอลล่าร์สหรัฐฯปรับตัวลดลงมา 0.5% เมื่อวันศุกร์ซึ่งเป็นการลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยก่อนจะติดอยู่ที่เส้นเทรนไลน์ขาลงดังในรูป
สกุลเงินเยนแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมากกว่า 0.5% กราฟ USDJPY กำลังทดสอบแนวรับอยู่ที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 DMA และเส้นเทรนไลน์ขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดของราคาในเดือนสิงหาคม
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นไปยังระดับราคา $1595.13 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของราคานับตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม แม้ว่าจะมีราคาปิดต่ำลงมาเล็กน้อยอยู่ที่ $1587.90 การปรับตัวขึ้นมาครั้งนี้ถือว่าใกล้กับจุดสูงสุดของราคานับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2013
แม้ว่าตอนนี้ตลาดลงทุนจะตกอยู่ในความหวาดวิตกแต่เราเชื่อว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอู่ฮั่นจะไม่ใช่สถานการณ์ที่ส่งผลต่อตลาดลงทุนสหรัฐฯ ในระยะยาว เราเชื่อว่าการผันผวนนี้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นและเมื่อสถานการณ์จบลง เมื่อตลาดลงทุนกลับสู่สภาวะปกติถึงตอนนั้นเราคงต้องมาพิจารณาความเสียหายที่เกิดขึ้นในจีนซึ่งอาจจะกระทบต่อการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีนในปีนี้อย่างแน่นอน
ขออ้างอิงจากคำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค” นายราล์ฟ อคัมปอร่าซึ่งแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดลงทุนในขณะนี้ว่า…
“ผมเชื่อว่าตลาดลงทุนอาจจะปรับตัวลดลงอีกอย่างน้อย 10% หรืออาจจะมากกว่านั้นอีกเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผมไม่ใช่พวกมองโลกในแง่ลบนะ ผมกลับอยากจะบอกว่าใครก็ตามที่มีเงินและอยากจะเข้าสู่ตลาดลงทุน...นี่คือโอกาสของคุณแล้ว”
ข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้
เวลาในข่าวเทียบตาม EST
วันอาทิตย์
20:45 (ประเทศจีน) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) โดยมหาลัยไซซิน: คาดว่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 51.5 เหลือ 51.3
วันจันทร์
03:55 (เยอรมัน) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI): อาจปรับตัวขึ้นจาก 43.7 ขึ้นเป็น 45.2 อย่างไรก็ตามยังถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์
04:30 (สหราชอาณาจักร) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI): อาจจะคงที่ 49.8
10:00 (สหรัฐฯ) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) โดย ISM: อาจจปรับตัวสูงขึ้นจาก 47.2 เป็น 48.5 แต่ยังคงเป็นตัวเลขการขยายตัวที่ต่ำกว่าตลาดต้องการซึ่งอยู่ที่ 50.00
22:30 (ออสเตรเลีย) ผลการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางออสเตรเลีย: อาจจะคงที่ 0.75%
วันอังคาร
04:30 (สหราชอาณาจักร) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการก่อสร้าง: อาจปรับตัวสูงขึ้นจาก 44.4 เป็น 46.0 อย่างไรก็ตามยังไม่เพียงพอให้พิจารณาได้ว่าคือการเติบโต
วันพุธ
08:15 (สหรัฐฯ) ตัวเลขคาดการณ์การจ้างงานนอกภาคการเกษตรจาก ADP: อาจปรับตัวลดลงจาก 202K เหลือ 159K
10:00 (สหรัฐฯ) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตโดย ISM: อาจปรับตัวสูงขึ้นจาก 55.0 เป็น 55.1
10:30 (สหรัฐฯ) ตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: ตัวเลขในสัปดาห์ที่แล้วสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ 3.548M bbls
วันศุกร์
05:30 (รัสเซีย) ผลการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางรัสเซีย: คาดว่าจะลดลงจาก 6.25% เหลือ 6.00%
08:30 (สหรัฐฯ) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร: ตัวเลขการจ้างงานในเดือนมกราคมอาจเติบโตขึ้นเป็น 161K จากตัวเลขในเดือนธันวาคมซึ่งอยู่ที่ 145K
08:30 (สหรัฐฯ) อัตราการว่างงาน: อาจคงที่ 3.5%