บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และให้บริการด้านคอมพิวเตอร์และสารสนเทศชื่อดัง IBM (International Business Machines (NYSE:IBM)) จะมีรายงานผลประกอบการหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดทำการในวันนี้ นักวิเคราะห์มองว่าตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของ IBM ในปี 2019 จะลดลงจาก $4.87 ต่อหุ้นเหลือ $4.69 ต่อหุ้น ส่วนตัวเลขผลกำไรที่ทำได้จะลดลงจาก $21,730 ล้านสหรัฐในปีก่อนหน้าเหลือ $21,640 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากการติดตามและตรวจสอบตัวเลขผลประกอบการของบริษัท IBM มานานหลายปีของนักวิเคราะห์พบว่ามี 17 ไตรมาสที่ตัวเลขผลกำไรต่อหุ้นสามารถเอาชนะการคาดการณ์ของนักลงทุนได้แต่มีถึง 11 ครั้งที่บริษัทไม่สามารถทำผลกำไรได้ตามเป้า
บริษัท IBM ต้องเผชิญกับความท้าทายในการให้คำตอบกับผู้ถือหุ้นว่าทำไมหุ้นของ IBM จึงปรับตัวลดลงตั้ง 12% ในช่วง 5 ปีหลังสุดในขณะที่บริษัทกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างเช่น Microsoft (NASDAQ:MSFT)) และ Salesforce (NYSE:CRM) กลับมีกำไรเพิ่มขึ้นมากถึง 200% ในช่วงเวลา 5 ปี เดียวกัน
ย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์สักเล็กน้อย...บริษัท IBM หรือที่มีชื่อเล่นว่า “บิ๊กบลู” เป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่สามารถรอดพ้นมาจากยุคนิวมิลเลนเนียลได้ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ในสมัยนั้นล้วนแล้วต่างล้มหายตายจากไปกันหมดสิ้น สิ่งที่ทำให้บริษัท IBM โดดเด่นกว่าคู่แข่งอื่นๆ ในยุคนั้นคึอการสร้างซอฟท์แวร์ ในยุคนี้ที่กำลังให้ความสนใจกับเทคโนโลยีคลาวด์ทำให้บริษัท IBM หันมาสนใจที่จะทำเทคโนโลยีนี้ด้วยเช่นกันแต่ดูเหมือนว่าจะช้าไปหลายก้าวเมื่อเทียบกับบริษัทอย่าง Amazon (NASDAQ:AMZN), Alphabet เจ้าของกูเกิ้ล (NASDAQ:GOOGL) และ Microsoft
การที่ IBM จะสามารถกลับมาสู่เกมได้พวกเขาจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าแม้จะแก่แต่พวกเขาก็ยังเก๋าและมีกำลังมากพอที่จะสร้างธุรกิจคลาวด์ขึ้นมาแข่งขันได้ แล้วนักลงทุนละ...เชื่อว่า IBM จะสามารถกลับมาได้หรือไม่?
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของบริษัท IBM สามารถปิดตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200DMA โดยมีราคาปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน ในวันที่ 2 ราคาก็ยังสามารถปิดตัวสูงขึ้นได้อีกโดยกราฟสามารถมีราคาปิดเหนือเส้นแนวโน้มขาลงที่เป็นเส้นประซึ่งลากมาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เมื่อนำเหตุผลทั้งสองมาประกอบกันจึงมีโอกาสเป็นไปได้กราฟอาจเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้นจากรูปแบบหัวไหล่กลับหัว (Inverted Head & Shoulder) อย่างไรก็ตามอินดิเคเตอร์ MACD และ RSI กลับเห็นไม่ตรงกับราคาเพราะอินดิเคเตอร์ได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่ก่อนสักระยะแล้ว
เมื่อลองออกมามองภาพรวมที่กว้างขึ้นจะเห็นว่าตั้งแต่กราฟ IBM ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดไว้ที่ $215 ในเดือนมีนาคมปี 2013 หุ้น IBM ก็ไม่เคยกลับไปสู่จุดนั้นได้อีกเลยและยังคงปรับตัวเป็นแนวโน้มขาลงระยะยาวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แม้กราฟจะไม่เคยเจาะเส้นแนวโน้มขาขึ้นลงมาได้สักครั้ง แต่การที่จุดสูงสุดของราคาค่อยๆ ปรับตัวลดระดับลงมาแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาลงที่ก่อตัวมาสักระยะแล้ว ยิ่งถ้ากราฟสามารถทะลุเส้นแนวโน้มขาขึ้นนี้ลงมาได้จะยิ่งเป็นการยืนยันถึงแนวโน้มขาลงระยะยาว ยิ่งสถานการณ์ของบริษัทในปัจจุบันที่ถือว่าเป็นผู้ตามในเรื่องของธุรกิจคลาวด์แม้ว่าตัวเลขผลประกอบการจะออกมาเป็นเช่นไรก็อาจไม่ช่วยให้สถานการณ์ของ IBM ดีขึ้นไปมากกว่านี้
ถ้าผลประกอบการที่ออกมาสะท้อนให้เห็นว่ากลยุทธ์การเปลี่ยนมาทำธุรกิจคลาวด์นั้นสายเกินไปแล้วและคงไม่ใช่ทางออกของบริษัทในขณะนี้ เราอาจจะได้เห็นรูปแบบหัวไหล่ของขาลงแทนโดยมีเป้าหมายของราคาอยู่ที่เส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่ปี 1993
กลยุทธ์การเทรด (สำหรับขาลง)
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอให้ราคาสามารถเจาะแนวรับได้อย่างน้อย 3% หลังจากนั้นจะรอให้ราคาดีดกลับมาทดสอบแนวต้านที่อยู่ใต้ neckline อีกครั้ง
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง หลังจากที่กราฟสามารถเจาะเส้น neckline ได้ 2% เขาจะรอให้กราฟดีดกลับมาเพื่อหาจุดเข้าที่เหมาะสมโดยไม่รอการยืนยันของแนวโน้มขาลง
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะเสี่ยงวางคำสั่งขายทันทีที่กราฟเจาะแนวรับได้หรืออาจจะรอให้กราฟดีดกลับมาอีกครั้งเพื่อหาจุดเข้าใกล้กับแนวต้าน
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: $132
- Stop-Loss: $134
- ความเสี่ยง: $2
- เป้าหมายในการทำกำไร:$126
- ผลตอบแทน: $6
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3