ก่อนที่การเซ็นสัญญาการค้าขั้นแรกระหว่างสหรัฐฯ - จีนจะเกิดขึ้นทางทำเนียบขาวได้ส่งจดหมายเชิญออกไปยังบุคคลสำคัญ 200 คนเพื่อมาเป็นสักขีพยานการเป็นมิตรระหว่างทั้งสองประเทศ แม้ว่าข่าวนี้จะเป็นข่าวดีแต่สำหรับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์นั้นนักลงทุนมีความสงสัยว่าพวกเขาจะได้อะไรจากการเซ็นสัญญาในครั้งนี้โดยเฉพาะนักลงทุนในตลาดน้ำมันและธัญญาพืช
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์และนาย หลิว เหอ ผู้นำคณะการเจรจาการค้าของจีนจะเซ็นสัญญาลงนามทางการค้าร่วมกันที่มีความยาวทั้งหมด 86 หน้าซึ่งครอบคลุมไปถึงกรณีการค้าหลายรายการอย่างเช่นภาษีโซลาร์เซลหรือเครื่องล้างจานที่เคยเป็นประเด็นมาแล้วจนทำให้ต้องตั้งกำแพงภาษีการค้าเป็นมูลค่า $735,000 ล้านเหรียญสหรัฐใส่กันซึ่งทำให้ผู้ทำธุรกิจของสหรัฐฯ ต้องเสียเงินค่าภาษีไปแล้ว $46,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดออกมาอย่างเป็นทางการว่าจริงๆ แล้วหัวข้อทั้งหมดที่อยู่ในสัญญา 86 หน้าจะมีเรื่องอะไรที่ทั้งสองฝ่ายจะเซ็นสัญญาร่วมกันบ้าง ทางสำนักข่าวบลูมเบิร์กแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ส่วนใหญ่แล้วหัวข้อที่จะพูดถึงในสนธิสัญญาการค้าขั้นแรกจะเป็นเรื่องของจีนต้องจริงจังกับการจัดการทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นของสหรัฐฯ และการไม่แทรกแซงสกุลเงิน”
สัญญาการซื้อขายสินค้าการเกษตรจากจีนจำนวน $200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
อ้างอิงจากการรายงานของบลูมเบิร์กเผยว่า “การซื้อสินค้าโภคภัณฑ์จากจีนมูลค่า $200,000 ล้านเหรียญสหรัฐจะเป็นเงื่อนไขในสนธิสัญญาทางการค้าใหม่เพื่อนำไปช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกษตรกรได้รับจากการทำสงครามการค้าฯ และทางการจีนจะต้องซื้อถั่วเหลืองและน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน”
ถึงตรงนี้นักลงทุนหลายคนอาจสงสัยว่าการชำระเงินจำนวนนี้จะเป็นการแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ตลอดระยะเวลา 4 ปีหรือจะเป็นการจ่ายครั้งเดียวจบ? เพราะทรัมป์เองก็มีความต้องการที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากจีนปีละ $50,000 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น….หรืออาจจะนานกว่านั้น?
เราคงจะต้องอยู่ในความสงสัยนี้ต่อไปจนกว่าจะทราบรายละเอียดของการเซ็นสัญญาในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเราจึงไม่อยากให้นักลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์คาดหวังอะไรไปไกลมากนักแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นฝั่งเอเชียจะปรับตัวสูงขึ้นขานรับข่าวดีนี้แล้วก็ตาม
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 2 เซนต์มีระดับราคาอยู่ที่ $59.05 ในช่วงที่ตลาดลงทุนสิงคโปร์เปิด ถือว่ายังดีที่ราคายังไม่ลงมาต่ำกว่า $60 ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลง 3 เซนต์อยู่ที่ $64.95 อยู่ใต้แนวต้านสำคัญที่ $65
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงเล็กน้อยหรืออยู่เฉยๆ กันแน่
นายสก๊อต เชลตัน นักวิเคราะห์แห่งโบรกเกอร์ที่ลงทุนในตลาดพลังงานล่วงหน้า ICAP ให้ความเห็นว่า “สำหรับราคาน้ำมันดิบ WTI ผมมองว่าราคากำลังค่อยๆ ปรับตัวลดลงมาเรื่อยๆ ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ผมเห็นสัญญาณความเป็นไปได้อาจปรับตัวขึ้นได้อยู่ แต่ถ้าไม่แล้วคิดว่ากราฟก็คงจะอยู่กับที่ไม่ไปไหน”
ตั้งแต่เปิดศักราชปี 2020 ราคาน้ำมันดิบก็เกิดการผันผวนในตลาดทันที่ได้รับข่าวการสั่งสังหารนายพลคนสำคัญของอิหร่านจากสหรัฐฯ นายคัสเซ็ม โซเลมานี่ ในช่วงนั้นราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นไปสูงถึง $64 ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ขยับเข้าใกล้จุดสูงสุด $71.28 จากการเก็งกำไรและความกลัวว่าความขัดแย้งนี้จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
อย่างไรก็ตามเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 6.4% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลง 5.3% หลังจากที่ทรัมป์สั่งไม่ให้ตอบโต้การโจมตีของอิหร่านที่ฐานทัพของสหรัฐฯ ในอิรัก แม้ว่าการตายของโซเลมานี่จะไม่ได้กระทบต่อกระบวนการผลิตน้ำมันและการส่งออกโดยตรง แต่นักลงทุนในตลาดน้ำมันดิบก็ประเมินความเสี่ยงออกมาสูงเกินไป ต้องไม่ลืมว่าทั้งอีรักและอิหร่านต่างก็เป็นสมาชิกของกลุ่มโอเปก พวกเขารวมทั้งซาอุดิอาระเบียมีกำลังการผลิตน้ำมันคิดเป็น 40% ของโลก
ตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังพุ่งสูงขึ้น
ปัจจัยอีกอย่างที่สามารถส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบได้ก็คือปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่ในช่วงสองสัปดาห์ล่าสุดได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก สำหรับนักลงทุนผู้ติดดอยราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน $4 อาจสงสัยว่ายังมีสถานการณ์อะไรที่จะช่วยให้พวกเขาออกไปจากตรงนี้ได้หรือไม่คำตอบก็คือต้องลุ้นให้โอเปกลดกำลังการผลิตน้ำมันลงมาอีกหรือบางทีข่าวดีเกี่ยวกับการเซ็นสัญญาการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีน อาจเป็นตัวช่วยได้
แม้ว่าพึ่งจะมีข่าวการลดกำลังการผลิตน้ำมันลงไปเมื่อช่วงปลายปี 2019 แต่จริงๆ แล้วการตัดสินใจครั้งนั้นรัสเซียและสมาชิกคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เต็มใจเห็นด้วย 100% กับสิ่งที่ซาอุดิอาระเบียทำมากนัก การจะลดกำลังการผลิตลงอีกอาจยิ่งสร้างความไม่พอใจขึ้นในกลุ่มก็เป็นได้
ถ้ารัสเซียตัดสินใจออกจากกลุ่มโอเปกตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 จริงเชื่อว่านี่ต้องเป็นข่าวใหญ่และสร้างความปั่นป่วนให้กับโอเปกและกลุ่มประเทศพันธมิตรเป็นแน่เพราะที่ผ่านมารัสเซียยังไม่เคยแสดงท่าทีที่ชัดเจนเลยว่าอยากจะออกจากกลุ่มโอเปกจริงๆ
อย่างไรก็ตามแม้รัสเซียจะยังไม่ได้ตัดสินใจออกจากกลุ่มโอเปกในตอนนี้แต่ความกังวลก็เริ่มก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยในกลุ่มโอเปก สมาชิกในกลุ่มทุกคนรู้ดีว่ารัสเซียมีกำลังมากพอที่จะออกจากกลุ่มไปแล้วไปส่งออกน้ำมันแข่งกับสหรัฐฯ ที่ล่าสุดตัวเลขการส่งออกน้ำมัน WTI พึ่งสร้างสถิติจุดสูงสุดใหม่ไปในปีที่แล้ว สำหรับประเด็นนี้เราจะได้ทราบความคืบหน้ากันในการประชุมที่กรุงเวียนนาวันที่ 4-6 มีนาคมนี้
ทองคำจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าน้ำมันดิบ
น่าประหลาดใจที่สินทรัพย์สำรองอันดับหนึ่งอย่างทองคำแม้จะปรับตัวสูงขึ้นและมีรูปทรงการวิ่งที่ดีกว่าน้ำมันดิบแต่ก็ต้องประสบภาวะความยุ่งเหยิงเช่นเดียวกัน
ราคาทองคำล่วงหน้าจากกระดานเทรดนิวยอร์ก COMEX มีการปรับตัวสูงขึ้น $5.80 คิดเป็น 0.4% อยู่ที่ระดับราคา $1560.10 ต่อออนซ์เป็นการขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดของราคาในเดือนเมษายนปี 2013 ที่ 1,613.30 ทันทีหลังจากที่ทราบข่าวอิหร่านใช้จรวดถล่มฐานทัพสหรัฐฯ ในอิรัก
ในขณะที่ราคาทองคำสปอตปรับตัวขึ้นมา $9.46 คิดเป็น 0.6% อยู่ที่ระดับราคา 1,562.20 ต่อออนซ์และสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดของราคาไว้ได้ที่ $1,611.52 ในสัปดาห์ที่แล้ว
แม้ว่าราคาทองคำและน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นมาเหมือนกันหลังจากที่เกิดความตึงเครียดขึ้นในตะวันออกกลางแต่สิ่งที่ต่างกันออกไปก็คือหลังจากที่เหตุการณ์สงบลงราคาน้ำมันดิบกลับปรับตัวลดลงในขณะที่ราคาทองคำยังสามารถหยุงตัวเองไว้ได้อยู่ในระดับสูง
นักวิเคราะห์มองว่าการเคลื่อนที่ของราคาในตลาดหุ้นและราคาทองคำครั้งนี้ประหลาดและผิดแผกไปจากเดิมโดยปกติแล้วเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นราคาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยจะต้องปรับตัวกลับลงมา ดังนั้นนักวิเคราะห์มองว่าตราบเท่าที่หุ้นในตลาดวอลล์สตรีทยังขึ้น ราคาทองคำในคราวนี้อาจปรับตัวขึ้นตามได้ด้วยเช่นกันเหมือนกับว่านักลงทุนไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงจากฝั่งใดฝั่งหนึ่งและเลือกที่จะถือไว้ทั้งสองฝั่ง
หุ้นขึ้นทองก็ขึ้น
ราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสามารถปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกันกับที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐหลักทั้ง 3 ตัวสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้เมื่อวันศุกร์เช่นเดียวกันก่อนที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดลง ดัชนีดาวโจนส์สามารถก้าวข้ามแนวต้านที่ 29,000 จุดขึ้นไปได้ในวันที่ 10 มกราคมเป็นครั้งแรกแม้ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรจะออกมาน่าผิดหวังก็ตาม
ในขณะที่ราคาทองคำที่ปกติแล้วควรจะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลงแต่ในครั้งนี้ราคาทองคำกลับยังสามารถปรับตัวขึ้นมาได้ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนความเชื่อในหลักของการลงทุนที่ทำกันมาโดยตลอด นาย จอร์จ เจอโร นักวิเคราะห์ตลาดแร่โลหะมีค่าของบริษัท RBC Wealth Management ในนิวยอร์กกล่าวว่า
“ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในขณะที่ตลาดหุ้นและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ปรับตัวขึ้นด้วย นี่ถือเป็นเรื่องแปลกจริงๆ”
อนึ่ง ดัชนีดอลล่าร์สหรัฐฯซึ่งเป็นดัชนีอีกตัวที่นักลงทุนเอาไว้ใช้ประกอบดูสัญญาณขัดแย้งกับราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ที่แล้วสามารถสร้างจุดสูงสุดของราคาไว้ที่ 97.303 ก่อนจะลงมาเหลือ 97.08 ในขณะที่ราคาทองคำสปอตปิดตัวสูงขึ้น 18% และทองคำล่วงหน้าปิดตัวสูงขึ้น 16% คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมาของทั้งคู่อยู่ที่ 3% นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2020