เหลือเพียงไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดการเก็บภาษีนำเข้าจากจีนรอบใหม่ที่มีมูลค่าถึง $156,000 ล้านเหรียญ ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้แล้ว นักลงทุนต่างจับตามองหัวข้อข่าวเรื่องสงครามการค้าอย่างใกล้ชิด
รายงานจาก Wall Street Journal ในวันอังคารที่ผ่านมากล่าวว่า วอชิงตันมีแผนที่จะเลื่อนการเก็บภาษีจากสินค้าจีนเพิ่มเติมออกไป ในขณะที่ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาว นาย Larry Kudlow กล่าวว่าเรื่องนี้ยัง “อยู่ระหว่างพูดคุย”
แม้จะมีรายงานที่ขัดแย้งกัน แต่พนันได้เลยว่าการเก็บภาษีในรอบถัดไปนั้นจะถูกเลื่อนออกไป และการเลื่อนการเจรจาทางการค้าออกไปก็ส่งผลให้สินทรัพย์ที่จะปรับตัวขึ้นนั้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้
หุ้น 5 ตัวที่จะมีการปรับตัวสูงขึ้นหากสหรัฐฯ มีการเลื่อนการเก็บภาษีออกไป บริษัท 3 แห่งที่อยู่ในสหรัฐฯ แต่สัญชาติจีน และ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
1. Alibaba
บริษัทชื่อดังของจีน Alibaba (NYSE:BABA) บริษัทอีคอมเมิร์ซและค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในเอเซียนั้นมีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 21% ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศว่าวอชิงตันได้บรรลุ “ข้อตกลงที่สำคัญในระยะแรก” กับจีนแล้ว
หุ้นซึ่งเพิ่มสูงขึ้น 46% จากปีก่อน (YTD) เมื่อเทียบกับกำไร 25% ของ S&P 500 ปิดที่ $200.45 เหรียญในวันอังคาร โดยมีมูลค่าตลาด $533,100 ล้านเหรียญ หลังจากทำสถิติสูงสุด 52 สัปดาห์ที่ $203.43 เหรียญในวันที่ 9 ธ.ค.
สัญญาณที่แข็งแกร่งที่ทำให้นักลงทุนยังคงอยู่ในตลลาดขาขึ้น คือ มีความต้องการหุ้นของ Alibaba (HK:9988) ในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อเดือนที่ผ่านมา แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน แต่ การขายหุ้น IPO สามารถระดมทุนได้ $1,300 ล้านเหรียญ ในการเสนอขายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของปี เมื่อวันที่ 26 พ.ย.
กลุ่มบริษัทข้ามชาติมุ่งเน้นไปที่มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคทั้งในระดับโลกและในประเทศ รวมไปถึงการรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ผ่านระบบคลาวด์ ดังนั้นเราจึงยังคาดหวังส่วนต่างจากเหตุการณ์นี้ และแนะนำให้สะสมหุ้นเนื่องจาก Alibaba อยู่ในตำแหน่งที่ดี ที่จะได้รับผลประโยชน์จากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ และ จีน
2. NetEase
NetEase (NASDAQ:NTES) เป็นบริษัทเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของจีนที่ให้บริการเป็นศูนย์กลางเนื้อหาคอนเท้นท์ออนไลน์ ชุมชนออนไลน์ การสื่อสารและการพาณิชย์ นอกจากนี้ยังพัฒนาและดำเนินเกมพีซีบนมือถือแบบออนไลน์ การให้บริการโฆษณา การบริการอีเมล และ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในจีน
หุ้นเพิ่มขึ้น 19% นับตั้งแต่มีการประกาศข้อตกลงเฟส 1 เมื่อวันที่ 11 ต.ค. YTD ซึ่งเป็นหุ้นปิดที่ $309.24 เหรียญในเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้รับ 31% ในปี 2019 และปิดตลาดด้วยมูลค่า $39,800 ล้านเหรียญ
รายงานผลประกอบการล่าสุดของบริษัทได้ปล่อยในวันที่ 20 พ.ย. ได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของยอดขายเทียบรายปีที่โตขึ้น 11% คิดเป็น $2,050 ล้านเหรียญสำหรับไตรมาส กำไรต่อหุ้นที่ได้รับการแก้ไขนั้นสูงกว่าที่คาดการณ์ที่ $5.12 เหรียญ ในขณะที่รายได้ non-GAAP จากการดำเนินการที่ต่อเนื่องนั้นพุ่งไป 74% เมื่อเทียบรายปี
นักวิเคราะห์ได้อัปเกรดหุ้นด้วย Goldman Sachs ซึ่งได้ให้ NetEase กำหนดอัตรา “ซื้อ” ในวันที่ 4 ธ.ค. ราคาเป้าหมายเสนอที่ $368 เหรียญ Jefferies ได้ชนกับราคาเป้าหมายที่ $350 เหรียญ ในขณะที่คงคำแนะนำ "ซื้อ" เมื่อปลายเดือนที่แล้ว
3. TAL Education Group
TAL Education Group (NYSE:TAL) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในเดือนต.ค. 2010 เป็นผู้ให้บริการสอนพิเศษหลังเลิกเรียนสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในประเทศจีน
หุ้นปิดเมื่อวานนี้ที่ $45.27 เหรียญ โดยมีมุมมองว่าปิดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ $46.37 เหรียญที่แตะเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ซึ่งทำกำไรได้ 21% ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. ที่มีการประกาศข้อตกลงการค้าในระยะแรก หุ้นทะยานขึ้น 70% ทำให้มีมูลค่าทางการตลาดที่ $26,900 ล้านเหรียญ
รายงานผลประกอบการไตรมาสสอง ทางการเงินของ TAL แสดงให้เห็นว่ารายรับเพิ่มขึ้นเกือบ 34% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเนื่องจากครอบครัวชาวจีนแห่กันไปที่ซัพพลายเออร์ด้านการศึกษาเพื่อขอความช่วยเหลือในการปรับปรุงผลการเรียนของเด็ก ๆ นอกจากนี้บริษัทยังคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของรายได้ในไตรมาสที่สามเพิ่มขึ้นที่ 30%
นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนเป็นการเติบโตทางออนไลน์ รายได้จากแพลตฟอร์ม Xueersi.com ซึ่ง TAL เปิดโอกาสให้นักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาได้เรียนรู้บทเรียนแบบรายการสดที่มีวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนและวิชาอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้น 88% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่การลงทะเบียนหลักสูตรระยะยาวเพิ่มขึ้น 134% ถึง 1.4 ล้านคน
4. NVIDIA
NVIDIA (NASDAQ:NVDA) ซึ่งออกแบบหน่วยประมวลผลกราฟิกส์ (GPUs) สำหรับตลาดเกมและมืออาชีพนั้น ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีผลประกอบการดีขึ้น จากการตัดสินใจของสหรัฐฯ ในเรื่องของการเลื่อนการเก็บภาษีออกไป NVIDIA เป็นหนึ่งใน บริษัท เทคโนโลยีที่มีสัดส่วนรายได้รวมที่ใหญ่ที่สุดมาจากยอดขายไปยังประเทศจีนที่ 56%
หุ้นของซานตาคลาร่ายักษ์ใหญ่ของเซมิคอนดักเตอร์ในแคลิฟอร์เนียเพิ่มขึ้น 17% นับตั้งแต่มีการประกาศข้อตกลงบางส่วนในวันที่ 11 และ 60% สำหรับปีนี้
หุ้นเสร็จปิดเซสชั่นเมื่อวานนี้ ด้วยมูลค่าตลาดที่ $131,000 ล้านเหรียญและราคาหุ้นที่ $213.98 เหรียญ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ $221.41 เหรียญซึ่งแตะที่เมื่อวันที่ 25 พ.ย.
บริษัทด้านเทคโนโลยีได้ทำนายว่าจะมีความต้องการอย่างมากสำหรับการใช้ชิปในศูนย์ข้อมูล หลังจากที่ตัวเลขรายงานผลประกอบการไตรมาสสามและรายรับเกินความคาดหมายในวันที่ 14 พ.ย. ผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจนี้ได้แสดงให้เห็นว่าบริษัทได้มีการจัดการเพื่อลดผลกระทบที่มาจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากว่าบริษัทต้องพึ่งพาตลาดจีนในการทำธุรกิจ
ตามรายงานผลประกอบการไตรมาสสาม นักวิเคราะห์ได้ให้แนวโน้มหุ้นของ NVIDIA เป็นตลาดขาขึ้น โดย Morgan Stanley ได้อัปเกรดอัตราเป็น ‘overweight’ ในวันที่ 25 พ.ย. และยกเป้าหมายราคาเพิ่มเป็น $259 เหรียญ ในขณะที่ธนาคารสหรัฐฯ และ Raymond James ได้ปรับเปลี่ยนอัตราเป้าหมายของพวกเขาและเป้าหมายราคาด้วยเช่นกัน
5. Apple
ด้วยมูลลค่าทางการตลาดที่ $1.19 ล้านล้านเหรียญ บริษัท Apple (NASDAQ:AAPL) จึงเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก บริษัทผู้ผลิต iPhone กำลังเตรียมพร้อมที่จะได้รับผลประโยชน์จากข้อพิพาทของสหรัฐฯ และจีน เนื่องจาก 20% ของรายได้นั้นมาจากยอดขายในประเทศในแถบเอเซีย
หุ้นที่แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $271.00 เหรียญ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. เพิ่มขึ้น 17% นับตั้งแต่การประกาศข้อตกลงการค้าเฟสแรกในวันที่ 11 ต.ค. มูลค่าหุ้นซึ่งเพิ่มขึ้น 70% ในปีนี้ ปิดที่ $268.48 เหรียญในวันอังคาร กำไรต่อหุ้นและรายรับสำหรับไตรมาสในปีนี้ยังทำได้ดีเกินความคาดหมายด้วยเช่นกัน
บริษัท Cupertino แคลิฟอร์เนียซึ่งจัดส่ง iPhone 10 รุ่น 11 ล้านเครื่องไปยังประเทศจีนในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้านี้ตามรายงานของสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าชาวจีนได้กลับมาซื้อ iPhone อีกครั้ง
ตลาดจีนนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ โดยมีความสำคัญต่อผลประกอบการของ Apple ดังนั้นการเข้าถึงเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตของประเทศในแถบเอเซียนั้นจะเป็นตัวกระตุ้นรายได้ที่ดีให้กับ Apple
ความคาดหวังคือการสมัครสมาชิกการบริการผ่าน Tunes Music, Apple TV+ และ Apple Arcade ทั้งยังอุปกรณ์เสริมที่นำโดย AirPods นั้นจะมีส่วนทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีที่จะถึงนี้