ช่วงเวลาแห่งการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสสองซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ หุ้นธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่ได้รับการจับจ้องเป็นพิเศษ
ผลประกอบการของธนาคารขนาดใหญ่นั้นคือเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เนื่องจากผลประกอบการของธนาคารส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับทิศทางของอัตราดอกเบี้ย การลงทุนทางธุรกิจ การปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึงสองครั้งเพื่อประคับประคองผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ในการประชุมที่บริษัท Barclays ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ธนาคาร Citigroup, JPMorgan Chase & Co และ Wells Fargo & Company เริ่มส่งสัญญาณว่ารายได้ของธนาคารที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดจะลดตัวลงเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า สถาบันวิจัย Autonomous เผยตัวเลขกำไรต่อหุ้นโดยเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ จะสามารถทำได้สำหรับปี 2020 นั้นปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปีนี้ 9%
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารถือเป็นตัวบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ในช่วงปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มสถาบันการเงินในดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้นมาได้ราว 4.6% ในขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ ในดัชนีปรับขึ้นได้ 7.3%
ในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้เมื่อธนาคารรายงานผลประกอบการออกมา นักลงทุนก็อาจจะได้ทราบถึงปัญหาต่างๆ ของหุ้นในกลุ่มนี้ชัดเจนมากขึ้น แต่ขณะนี้เราจะขอมุ่งประเด็นไปที่หุ้นของธนาคารใหญ่สองแห่งต่อไปนี้เพื่อดูความเป็นไปได้ว่าหลังการรายงานผลประกอบการครั้งนี้ หุ้นใดจะน่าซื้อมากกว่ากัน
1. Citigroup
หากคุณวางแผนที่จะเก็บหุ้นในกลุ่มธนาคารไว้สักตัว หุ้นของ Citigroup ก็เป็นหนึ่งในหุ้นที่เราอยากแนะนำมากที่สุดตัวหนึ่ง Citigroup พิสูจน์ตัวเองให้เห็นมาโดยตลอดว่าสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดีอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้เป็นอย่างดี
ช่วงที่ธนาคารประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ออกมาในเดือนกรกฎาคม ธนาคารได้ปรับลดต้นทุนลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ ส่วนธุรกิจในกลุ่มลูกค้ารายย่อยนั้นก็ทำผลงานประจำไตรมาสที่สองได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมาเลยทีเดียว ค่าใช้จ่ายที่ปรับลดลงไป 2% นั้นก็ถือว่าลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเอาไว้
กราฟราคาหุ้นของ Citi
ความแข็งแกร่งของธุรกิจจึงส่งผลให้เห็นผ่านราคาหุ้นของ Citigroup's (NYSE:C) ซึ่งเฉพาะในปีนี้ปรับขึ้นมาแล้วถึง 35% ถือว่ามากกว่าผลงานของดัชนีธุรกิจธนาคารของ KBW ซึ่งปรับขึ้นมาได้ 15% ในช่วงเวลาเดียวกันได้มากกว่าสองเท่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นของ Citigroup ยังปรับตัวขึ้นอีกมากกว่า 2% และไปปิดตลาดที่ระดับ $70.10
Citigroup มีกำหนดที่จะรายงานผลประกอบการออกมาในวันอังคารนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าธนาคารจะมีกำไรอยู่ที่ $1.95 ต่อหุ้น และมียอดขาย 18,520 ล้านเหรียญ
2. JPMorgan Chase & Co.
ธนาคารเพื่อการลงทุนและการค้าขายรายใหญ่ของวอลล์สตรีทอย่าง JPMorgan Chase & Co. เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่ควรต้องติดตามผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะรายงานออกมาให้ทราบในวันอังคารนี้อย่างใกล้ชิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าธนาคารจะมีกำไร $2.45 ต่อหุ้น และมียอดขายอยู่ที่ 28,460 ล้านเหรียญ
ปีที่ผ่านมาถือว่าธนาคาร JPMorgan สามารถทำผลงานได้ดีจากการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น รวมทั้งผลการดำเนินงานจากแผนกการธนาคารเพื่อการลงทุนซึ่งถือเป็นหน่วยธุรกิจหลักของธนาคารก็เติบโดได้อย่างแข็งแกร่ง ธนาคารจึงมีรายได้สุทธิสูงเป็นประวัติกาล แม้จะยังไม่นำผลประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางด้านภาษีของสหรัฐฯ มาพิจารณาด้วยก็ตาม
สถานการณ์ในช่วงสองไตรมาสแรกของปีนี้เป็นไปอย่างราบรื่นสวยงาม ในช่วงไตรมาสที่ 2 JPM มีกำไรหลักมาจากผลการดำเนินงานในแผนกธุรกิจลูกค้ารายย่อยที่เพิ่มขึ้นถึง 16% ทำให้สามารถนำมาชดเชยผลการดำเนินงานในส่วนอื่นๆ ที่ค่อนข้างชะลอตัวลงได้
กราฟราคาหุ้นของ JPM
จากตัวเลขผลการดำเนินงานที่ผ่านๆ มาจึงทำให้หุ้นของ JPM ยังได้รับการสนับสนุนในปีนี้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยปิดตลาดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ระดับ $116.14 เฉพาะในปีนี้มีการปรับขึ้นมาแล้วถึงเกือบ 20% ในขณะที่ดัชนีอ้างอิงมีการปรับขึ้นมา 15%
นายเจมส์ ดิมอน ประธานกรรมการบริหารเปิดเผยกับนักวิเคราะห์ในการประชุมเชิงนโยบายของเฟดครั้งล่าสุดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดไม่น่าจะส่งผลกระทบกับแผนการขยายธุรกิจของธนาคาร ซึ่งรวมไปถึงการขยายสาขา และการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีเพิ่มเติม ซึ่งเป็นสองสิ่งที่น่าจะทำให้ธนาคารต้องมีภาระการใช้จ่ายมากขึ้น
บทสรุป
ธนาคาร Citi และ JPMorgan ต่างก็เป็นสถาบันการเงินระดับโลกที่มีความมั่นคงสูงและมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์อย่างมาก หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น เศรษฐกิจทั่วโลกก็จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ถึงแม้ผลประกอบการที่จะรายงานออกมาภายในอีกไม่กี่อึดใจนี้จะไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดไว้ การที่ราคาหุ้นของทั้งสองธนาคารจะปรับตัวลดลงในระยะสั้นเช่นนี้จึงเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนควรเข้าซื้อเก็บไว้