เงินเยนร่วงหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีกว่าคาด-เฟดยังจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ย

โดย Kathy Lien กรรมการผู้จัดการด้านกลยุทธ์ฟอเร็กซ์จาก BK Asset Management

ภาพรวมตลาดฟอเร็กซ์ประจำเดือนสิงหาคม

ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดจะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้คือยอดขายปลีก และแม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะสูงขึ้นกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ถึงสองเท่า นักลงทุนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลดังกล่าวเลย สำหรับผู้อ่านของเรา สิ่งนี้คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะเมื่อวานนี้เราได้บอกไปแล้วว่าในขณะนี้ไม่มีอะไรจะสำคัญไปมากกว่าความตึงเครียดในด้านการเจรจาการค้า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัว และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั่วโลก แม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะเพิ่มสูงขึ้น ธนาคารกลางก็ยังจำเป็นต้องปรับลด อัตราดอกเบี้ย ลงอยู่ดีเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จากการเทขายหุ้นอย่างหนัก และเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน สหรัฐฯ และจีนต่างก็แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในวันนี้ว่าการชะลอการเรียกเก็บภาษีในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการช่วยให้การเจรจาทางการค้าง่ายขึ้นแต่อย่างใด นายรอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่าจะไม่มีการตอบแทนบุญคุณใดๆ กับจีนเพราะการชะลอการเรียกเก็บภาษีในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพียงเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคในสหรัฐฯ ไม่ให้ได้รับผลกระทบเท่านั้น ฝั่งของจีนยังคงตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่าประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ทำตามข้อตกลงโอซากา และขู่ว่าจะมีการตอบโต้หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษี 10% จริงๆ ภาษาที่ทั้งสองประเทศใช้นั้นต่างก็แสดงถึงการต่อต้านและต้องการปกป้องตนเองอยู่เป็นนัย ตราบใดที่สถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นักลงทุนก็จะยังกังวลจนทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนไม่สามารถฟื้นตัวต่อได้

เมื่อเช้านี้ รายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ค่อนข้างมาก ยอดขายปลีก ปรับเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้ที่ 0.3% ค่าใช้จ่ายผู้บริโภค ซึ่งไม่รวมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะและแก๊ส เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา ผลสำรวจของ ดัชนีเอ็มไพร์สเตท และ ธนาคารกลางฟิลาเดลเฟีย ก็ออกมาดีเกินคาดซึ่งแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรม แต่ตัวเลขบางตัวอย่างเช่น การผลิตในภาคอุตสาหกรรม และ จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงาน กลับแย่ลง แต่ตัวเลขดังกล่าวก็มีความสำคัญน้อยกว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคอยู่ดี จากการประชุมของเฟดในครั้งที่ผ่านมายังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก แต่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การเทขายหุ้นอย่างหนักในตลาดหุ้นและการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนซึ่งดูจะแย่ลงทุกทีทำให้นักลงทุน เชื่อมั่น ว่าจะต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 จุดเบสิสถึงสองครั้งภายในปีนี้ ซึ่งหากพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ธนาคารกลางก็คงจะหนีไม่พ้นที่จะต้องทำเช่นนั้นจริงๆ ในทำนองเดียวกันกับยอดขายปลีกซึ่งได้รับแรงหนุนมาจากตัวเลข ปริมาณการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ และ จำนวนการอนุญาตก่อสร้างอาคาร และดัชนี ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในด้านตลาดเงินและตลาดทุนของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่จะประกาศออกมาในวันพรุ่งนี้ก็จะมีผลเพียงไม่นานเช่นกัน

USD/JPY มีการซื้อขายกันสูงถึง 106.38 หลังจากที่มีการประกาศตัวเลขยอดขายปลีกออกมา แต่สุดท้ายไปปิดตลาดได้ที่ระดับเกือบ 106 สกุลเงินเพียงสกุลเดียวที่ได้รับผลกระทบจากข้อมูลตัวเลขดังกล่าวคือ EUR/USD ซึ่งได้ทะลุกรอบลงมาเมื่อวันพุธยังคงปรับลดลงไปอยู่ที่ 1.11 นอกเหนือจากแรงกดดันในเรื่องสงครามทางการค้าแล้วUSD/JPY ยังได้รับแรงกดดันจากดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ อีกด้วย ดอกเบี้ยพันธบัตรรุ่นอายุสิบปี ปรับลดลงในช่วงระหว่างวันไปอยู่ต่ำกว่า 1.5% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมาก่อนที่จะสามารถปรับตัวสูงขึ้นมาได้เล็กน้อย กราฟดอกเบี้ยพันธบัตรที่ทำรูปแบบ Inversion ไปเมื่อวานนี้เริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่อย่าแปลกในหากกราฟดอกเบี้ยระหว่างรุ่นอายุ 2 ปี กับ 10 ปี จะเกิดรูปแบบ Inversion ขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากทั้งสองมีอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงกันมาก ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กราฟเปลี่ยนรูปแบบไปได้มาก

สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพียงประเทศเดียวที่มีตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้น ที่ออสเตรเลีย ตัวเลขการจ้างงาน ก็ออกมาดีกว่าจำนวนที่คาดไว้เช่นกัน โดยปริมาณการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 41,000 ตำแหน่ง เมื่อเทียบกับที่คาดไว้ที่เพียง 14,000 ตำแหน่ง นายบอริส ชลอสเบิร์ก เพื่อนร่วมงานของเราชี้ว่า "สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ ตำแหน่งงานทั้ง 35,000 ตำแหน่งเป็นงานประจำ ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีมากท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเช่นนี้ อย่างไรก็ตามแนวโน้มของปริมาณการว่างงานก็ยังเพิ่มสูงขึ้นซึ่งจัดเป็นมูลเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้ธนาคารกลางออสเตรเลียอาจต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมากถึง 25 จุดเบสิสเลยทีเดียว" "จากข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจของ ออสเตรเลีย ซึ่งยังคงดีอยู่นั้นอาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปิดสถานะ short หากสถานการณ์ความตึงเครียดและความเสี่ยงมีน้อยลง"

ตัวเลขยอดขายปลีกของสหราชอาณาจักร ก็ยังออกมาดีกว่าที่คาดไว้ โดยมีค่าอยู่ที่ 3.3% เมื่อเทียบกับที่คาดไว้เพียง 2.6% เนื่องจากมีการใช้จ่ายออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ข้อมูลทางเศรษฐกิจในภาพรวมของสหราชอาณาจักรซึ่งมีปริมาณจ้างงานคงที่ มีการเติบโตของ ค่าจ้าง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นมากเกินความคาดหมาย ในสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องปัญหา Brexit เช่นนี้ หากสามารถเจรจาหาข้อยุติในข้อตกลงดังกล่าวได้ GBP/USD ก็น่าจะปรับตัวขึ้นแตะ 1.2500 หรือสูงกว่านั้นได้ แต่การที่ผู้นำของสหราชอาณาจักรไม่ต้องการที่จะสานต่อความสัมพันธ์กับอียูเช่นนี้ ความเสี่ยงในทางการเมืองจึงมีผลมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน