หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่พึ่งเข้ามาศึกษาหรือเริ่มลงทุนในตลาดการเงิน คุณอาจจะเคยผ่านตำราหรือหนังสือด้านการเงินที่เขียนว่า “ตลาดหุ้นและพันธบัตรมีความสัมพันธ์ในรูปแบบที่เป็นปรปักษ์กัน” หากตลาดหุ้นร่วง ตลาดพันธบัตรจะปรับตัวขึ้น (แน่นอนว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรต้องวิ่งลง) และในทางกลับกัน หากตลาดหุ้นขึ้น ตลาดพันธบัตรก็จะปรับตัวลดลง
เหตุผลอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตลาดนี้ง่ายมาก ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจเป็นปกติ ผู้คนจะกล้ารับความเสี่ยงได้มากขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้นที่แม้จะมีความเสี่ยงมากกว่า แต่ก็ได้ผลตอบแทนมากกว่า ดังนั้นคนจึงนิยมลงทุนในตลาดหุ้นหากว่าเศรษฐกิจดี ในขณะที่พันธบัตรนั้นเป็นเหมือนหุ้นของรัฐบาล แม้จะมีกำไรแต่ก็ใช้เวลานานกว่าจะไปถึงกำไรที่ตั้งไว้ ดังนั้นพันธบัตรจึงเป็นเพียงสินทรัพย์ปลอดภัยในสายตานักลงทุน
แต่สิ่งที่พูดมาก่อนหน้านี้กับไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน มรสุมทางเศรษฐกิจที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ฉีกทุกตำราเศรษฐศาสตร์ อะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้น ต่างก็เกิดขึ้นในยุคนี้ ความสับสนวุ่นวายทำให้นักลงทุนบางคนถึงตัดพ้อว่าความเชื่อที่ต้องลงเงินในตลาดหุ้น 60% และพันธบัตร 40% อาจไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป นักวิเคราะห์เหล่านั้นถึงกับพูดว่าการลงทุนแบบ 60/40 ในตอนนี้อาจจะเป็นการตัดสินใจที่แย่ที่สุด
เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ความกลัวที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังกดดันตลาดเงินตลาดทุน แม้แต่สินทรัพย์สำรองอันดับหนึ่งตลอดกาลอย่างทองคำในไตรมาสนี้ก็ยังปรับตัวลดลงมาแล้ว 6% สิ่งที่นักวิเคราะห์แนะนำได้มากที่สุดในตอนนี้คือถือเงินสดเอาไว้เฉยๆ แม้มันจะกำลังถูกเงินเฟ้อกันกินมูลค่าอยู่ก็ตาม
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับสิ่งที่นักวิเคราะห์กลุ่มก่อนหน้านี้พูด บางคนมองว่าลักษณะการวิ่งไปในทิศทางเดียวกันของตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรเริ่มจะหายไปแล้ว สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมเคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ 3.1% แต่ตอนนี้กลับลงมาวิ่งอยู่ต่ำกว่า 2.9% แล้ว และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่เป็นเหมือนกับตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็สามารถปรับตัวกลับขึ้นมาได้ในขณะที่ตลาดพันธบัตรปรับตัวลดลง อัตราผลตอบแทนฯ อายุ 10 ปีทำราคาปิดเหนือ 2.85%
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตลาดจะเป็นหรือไม่เป็นไปตามทฤษฎี ทั้งหมดทั้งมวลอาจจะขึ้นอยู่กับท่าทีและการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปีนี้ เริ่มตั้งแต่รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 3-4 ของเดือนนี้ ซึ่งจะออกสู่สาธารณชนในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีเวลา 01:00 ตามประเทศไทย
สำหรับรายงานการประชุมครั้งนี้ นักวิเคราะห์ต้องดูว่าเฟดมีความกังวลต่อสถานการณ์เงินเฟ้อในตอนนี้มากน้อยแค่ไหน และความเป็นไปได้ที่จะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมมีมากน้อยเพียงใด ตลาดลงทุนต้องการคาดคะเนว่าเฟดจะสามารถพาเครื่องบินเศรษฐกิจลงจอดอย่างปลอดภัยจริงอย่างที่พูดได้หรือไม่
สถาบัน Conference Board ของสหรัฐฯ ให้ความเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าพวกเขามีความมั่นใจที่จะได้เห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่เฟดกำลังบอกว่าเศรษฐกิจอเมริกากำลังขยายตัว ผลสำรวจ CEO 133 บริษัทประเมินว่าควรชอร์ต (short) ตลาดในตอนนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบอ่อนๆ และสองในสามจากผู้ทำแบบสำรวจทั้งหมดเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเกิดขึ้นแน่โดยมีสาเหตุมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเอง
ในที่สุด ECB ก็ยอมทำนโยบายการเงินแบบตึงตัว
ข้ามฝากไปที่ฝั่งยุโรป ในขณะเดียวกัน นางคริสตีน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาพูดด้วยตัวเองว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยสองครั้ง ครั้งละ 0.25% ในเดือนกรกฎาคมและกันยายน ซึ่งนั่นจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของยูโรโซนขึ้นมาจากระดับติดลบ นอกจากนี้เธอยังกล่าวเป็นนัยถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
อันที่จริงแล้ว การตัดสินใจของลาการ์ดไม่ได้เป็นที่ถูกใจของสมาชิก ECB ที่เป้นสายเหยี่ยวจ๋า (ชอบการทำนโยบายการเงินแบบตึงตัวมากๆ) พวกเขาต้องการจะเห็นความกล้าได้กล้าเสียของ ECB มากกว่านี้ในการต่อสู้กับสถานการณ์เงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงของลาการ์ดได้ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมันอายุ 10 ปีกลับขึ้นไปยืนเหนือ 1% ได้ชั่วคราว เศรษฐกิจเยอรมันส่งสัญญาณฟื้นตัวเมื่อดัชนีวัดความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจของเดือนเมษายนปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 91.3 จุดเป็น 93.0 สูงกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ 91.2 จุด
สกุลเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์แล้วสามารถปรับตัวขึ้นมายืนเหนือ 1.07 ได้ ทั้งที่ในช่วงต้นเดือนเคยลงไปสร้างจุดต่ำสุดถึง 1.04 ]ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปตัดสินใจระงับกฎการใช้หนี้และการขาดดุลสำหรับประเทศสมาชิกยูโร ขจัดแรงกดดันให้กับประเทศในยูโรโซนในการลดการกู้ยืมหรือลดหนี้ทันที อนึ่ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลกรีซอายุ 10 ปีปรับตัวลดลง 1 จุดเบสิสในวันจันทร์ มีระดับตัวเลขอยู่ที่ 3.721%