Royal เริ่มขาย NFT ให้แฟนเพลงได้ซื้อลิขสิทธิ์เพลงแล้ว โดย JD Ross และ DJ Justin Blau หรือ ชื่อในวงการ 3LAU ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มดังกล่าวได้ออกมาประกาศปิดรอบระดมทุน Series A ที่มูลค่า 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากได้เคยออกมาระดมทุนในระดับ Seed round เมื่อเดือนสิงหาคม ด้วยยอดสุทธิ 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Andreessen Horowitz บริษัทลงทุน VC ชื่อดัง หรือที่รู้จักกันในนามผู้ก่อตั้งกองทุนคริปโท a16z ได้เข้ามาร่วมนำทีมลงทุนกับ Royal ด้วยเช่นกัน โดย Kathryn Haun หุ้นส่วนทั่วไปจากกองทุน a16z โพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์ของเธอถึงความเป็นไปได้ในการร่วมลงทุนกับแพลตฟอร์มดนตรีรูปแบบ On-chain รายนี้เพื่อพัฒนาวงการเพลง
นอกจากนี้ยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่, ศิลปิน และ ค่ายเพลงในวงการดนตรีอีกหลายรายที่ตัดสินใจตบเท้าเข้ามาร่วมลงทุนในโปรเจกต์ดังกล่าว ได้แก่ Creative Artists Agency (CAA), NEA’s Connect Ventures, Crush Music, Coinbase (NASDAQ:COIN) Ventures, Founders Fund, Paradigm, The Chainsmokers, Nas, Logic, Kygo, Stefflon Don, Joyner Lucas และ Disclosure โดย Royal จะนำเงินทุนที่ได้ในครั้งนี้ไปขยายขนาดขององค์กร และ พัฒนาศิลปินที่เซ็นสัญญากับแพลตฟอร์ม
Royal เริ่มขาย NFT ด้วยเป้าหมายบางอย่าง
ซีอีโอ Justin “3LAU” Blau ได้ออกมาเผยถึงเป้าหมายขององค์กรระบุว่า
“ทางแพลตฟอร์มอนุญาตให้แฟน ๆ ได้เป็นเจ้าของเพลงร่วมกับศิลปินคนโปรดของพวกเขา โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain ในการอนุมัติลิขสิทธิ์เพลง และ เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแฟนคลับ และ ศิลปิน โดยทางบริษัทจะเริ่มต้นคัดเลือกกลุ่มศิลปินในค่ายเพื่อทดลองเปิดการขายครั้งแรก แต่ทว่าพวกเราวางแผนที่จะเปิดแพลตฟอร์มพร้อมกับจำนวนศิลปินที่มากขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน”
ในเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา Blau ได้มอบลิขสิทธิ์การสตรีมมิ่งเพลง “Worst Case” ของเขา 50% ให้กับแฟนคลับถึง 333 ราย โดยแฟน ๆ เหล่านั้นจะได้รับค่าลิขสิทธิ์ผ่านทาง NFT เมื่อเพลงได้ถูกสตรีมลงบนแพลตฟอร์มของ Spotify, Apple (NASDAQ:AAPL) Music หรือ ช่องทางการสตรีมอื่น ๆ ซึ่งเพลงนี้ได้ทำเงินไปแล้วกว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ มูลค่าการซื้อขายโทเคนดังกล่าวบน Secondary Market สูงกว่า 600,000 ดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรก
NFT สามารถแก้ไขปัญหาในปัจจุบันของอุตสาหกรรมเพลงได้อย่างไร
Blay กล่าวว่า
“แน่นอนว่าอาชีพศิลปินนั้นจำเป็นต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากแฟนเพลงของพวกเขาเป็นธรรมดา แต่ทว่าในมุมของผู้ฟังรายอื่น ๆ พวกเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนจากการสนับสนุนศิลปินเหล่านี้เลย Royal จึงใช้ประโยชน์จาก NFT เพื่อช่วยเหลือศิลปินให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างอิสระมากขึ้น และ ยังช่วยให้พวกเขาสัมผัสถึงคุณค่าทางอารมณ์ที่ดนตรีได้สร้างสรรค์ขึ้นมาอีกด้วย”
แพลตฟอร์มดนตรีต้องการท้าทายคุณค่าของการถือครองลิขสิทธิ์เพลง ซึ่งตามที่ Blau ได้เคยกล่าวไว้ว่าปัจจุบันเพลงได้ถูกบิดเบือน และ ถูกประเมิณค่าต่ำลงไปมาก ซึ่งในอดีตนั้นผู้ที่มีสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลง รวมไปถึงการสตรีมมิ่ง จะมีเฉพาะค่ายแพลง, บริษัทร่วมลงทุน และ ผู้ถือหุ้นนอกตลาด ที่จะมีสิทธิ์ถือครองสินทรัพย์นี้ไว้ในพอร์ตโฟลิโอเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สามารถเปลี่ยนได้ เนื่องจากปัจจุบันบรรดานักดนตรีได้เริ่มหันมาสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี Web 3.0 และ เพิ่มฐานแฟนเพลงไปด้วยพร้อม ๆ กับการลงทุนในอาชีพของพวกเขา โดยการขายลิขสิทธิ์ครั้งถัดไปของ Royal นั้นใกล้จะเริ่มแล้วในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า