การปรับขึ้นของ SET Index วานนี้ถือเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย แม้จะปรับ ขึ้นแรงกว่าที่คิดไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในช่วงเวลาจากนี้ จนข้ามกำหนด วันเลือกตั้งทั่วไป (14 พ.ค.66) ยังมีโอกาสที่จะเห็น SET Index ปรับตัวขึ้นไปได้อีก แม้จะบางวันจะมีแรงขายทำกำไรออกมาเป็นระยะ ทั้งนี้แรงขับเคลื่อนตลาดเป็นไป ตามปัจจัย 4 เรื่อง ที่เราได้นำเสนอในรายงานฉบับวานนี้ สำหรับประเด็นที่อยาก นำเสนอเพิ่มเติมในวันนี้ได้แก่เรื่องของ Fund Flow ซึ่งเราเห็นสัญญาณของการ กลับมาของนักลงทุนต่างชาติชัดเจนมากขึ้น โดยวานนี้มียอดซื้อสุทธิ 4.1 พันล้าน บาท เปิด long ใน Future กว่า 2 หมื่นสัญญา และ ยังมีการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ อีก 5.25 พันล้านบาท(ส่วนใหญ่เป็นตราสารระยะสั้น) นอกจากนี้ในส่วนของเงิน บาทก็มีสัญญาณที่แข็งค่าขึ้น องค์ประกอบดังกล่าวถือว่าเป็นบวกต่อ Fund Flow
แม้อาจจะเห็นแรงขายทำกำไรออกมาบ้างหลังจากที่SET Index1 ปรับขึ้นแรงวาน นี้ แต่เชื่อว่าทิศทางหลักในช่วงนี้ยังเป็นขาขึ้น วันนี้คาด SET Index เคลื่อนไหวใน กรอบ 1550-1570 จุด Top Pick เลือก BEM, KBANK (BK:KBANK) และ SAWAD
ตลาดหุ้นต่างประเทศเข้าโหมดทรงตัว หลังไร้ปัจจัยใหม่ๆ หนุน
วานนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยในฝั่งสหรัฐปิดตัวราว -0.2% ถึง +0.2% ส่วนฝั่งยุโรปปิดตัวราว -0.1% ถึง +1.0% เนื่องจากนักลงทุนยังรอการประกาศ ตัวเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในวันที่ 10 พ.ค. นี้ โดยตลาดคาดว่าเงินเฟ้อเดือนเม.ย. +5.0%YoY ซึ่ง อยู่ในระดับเดียวกับเดือนก่อนหน้า ส่วน Core CPI มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ +5.4%YoY (เดือน มี.ค. อยู่ที่ +5.6%YoY)
ขณะเดียวยังมีประเด็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามในเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐ โดย รมว. คลังสหรัฐ ได้ออกมาย้ำเตือนว่าการใช้มาตรการพิเศษของกระทรวงการคลังเพื่อ หลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลจะสามารถดำเนินต่อไปได้จนถึงช่วงต้นเดือน มิถุนายนเท่านั้น อย่างไรก็ตามความกังวลดังกล่าวอาจมีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้น จากการประชุมเจรจาในข้อตกลงการขยายเพดานหนี้ ขณะที่ข้อมูลในอดีต ตลาดหุ้น สหรัฐฯ โดยเฉลี่ยมักทรงตัว ในช่วงที่เกิด Government Shutdown ซึ่งมีเพียงช่วงปี 2018 เท่านั้น ที่ Return หุ้นร่วงลงมากกว่า 7% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความกังวลเรื่อง Trade War
สำหรับความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์เป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็น ปัจจัยที่มักจะเข้ามาหนุนให้ราคาน้ำมันดีดตัว และอาจทำให้ปัญหาเงินเฟ้อตามมาได้ ซึ่ง ปัจจุบันสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลัง รัสเซียระดมยิงขีปนาวุธชุดใหญ่ในหลายพื้นที่ทั่วยูเครน อีกทั้งรัสเซียยังสั่งอพยพ ประชาชนออกจาก 18 พื้นที่พักอาศัยที่อยู่ใกล้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia) ซึ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยอาจเป็นสัญญานเตือนต่อความรุนแรงในการสู้ รบเช่นกัน
สรุป ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวในกรอบแคบ หลังรอตัวตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ แต่ในช่วงนี้ยังมีประเด็นความเสี่ยงที่ยังต้องติดตามในเรื่องความเสี่ยงต่อการผิดนัด ชำระหนี้ของสหรัฐ รวมถึง Geopolitical Risk ที่อาจะเข้ามากดดันได้
ตัวเลขเศรษฐกิจไทยยังดูดี คาดหวัง SET ปรับขึ้นต่อ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค CCI เม.ย.66 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 53.5 จุด จากระดับ 52.3 จุด ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งฟื้นตัวเด่นเป็นเดือนที่ 5 (นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565) และ สูงสุดในรอบ 52 เดือน (นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2562) โดยมีสาเหตุจาก
• การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากช่วงเทศกาล สงกรานต์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวสถานที่ ต่าง ๆ ที่จัดงานเป็นจำนวนมาก
• ใกล้เข้าสู่วันเลือกตั้ง (14 พฤษภาคม 2566) ทำให้ประชาชนคาดหวังว่าจะมี ส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศ รวมถึงความหวังนโยบายหา เสียงที่เน้นการจุดติดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอีกครั้ง
• ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทดีเซลปรับลดลง กบน. มีมติปรับลดราคาขายปลีก น้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร หรือลดเหลือ 32.50 บาทต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่ 4 พ.ค.66 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการปรับลดลงเป็นครั้งที่ 5 หรือปรับลดลงรวม 2.50 บาทต่อลิตร นับตั้งแต่เดือน ก.พ.66
ซึ่งประเด็นที่ต้องจับตา คือ เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 สัปดาห์ ก็จะถึงกำหนดการเลือกตั้ง ทั่วไป โดยนโยบายหาเสียงของแต่ละพรรคส่วนใหญ่เน้นแก้ปัญหาปากท้อง พร้อมกับบูท เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ ถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่ม COMM, FIN, BANK, MEDIA, FOOD รวมถึงความคาดหวังโครงการลงทุนใหม่ หนุนกลุ่ม CONMAT, CONS
โดยหากเม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจสามารถหมุนเวียนในระบบและสามารถกระตุ้น เศรษฐกิจไทยได้จริง ก็จะมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจระยะถัดไปจะเติบโตได้มากกว่าปีละ 3.5%(ธปท.คาด GDP ปีนี้ +3.6%YoY)
ที่สำคัญจากสถิติในอดีต GDP ไทยช่วงปีที่โตมากกว่า 5%YoY มักหนุน Return SET Index ปรับขึ้นเสมอ โดยตลอดปี 2000-2022 มี GDP โตมากกว่า 5%YoY อยู่ 6 ปี (เฉลี่ย 6.6%YoY) หนุน Return เฉลี่ยของ SET Index ปรับขึ้น 37%
สรุป ใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งนักลงทุนคาดหวังเห็นการเปลี่ยนผ่านไปในทิศทางที่ดี ขึ้น และนโยบายแต่ละพรรคก็เน้นแก้ปัญหาปากท้อง พร้อมกับบูทเครื่องยนต์ทาง เศรษฐกิจขึ้นมาใหม่คาดเป็นตัวผลักดันให้ GDP Growth ไทยโตโดดเด่น ซึ่งหาก GDP Growth ไทยโตเกิน 5% มักเห็นการปรับขึ้นของ SET Index เสมอ
SET ขึ้นได้โดดเด่น หลัง FUND FLOW กลับมาไหลเข้าหนัก
วานนี้ SET Index ปรับขึ้นแรง 28.95 จุด หรือ 1.89% ติดอันดับหุ้นที่ขึ้นแรงสุด 10 อันดับแรกของโลกในวานนี้ โดดเด่นกว่าภาพรวมตลาดหุ้นโลก อย่าง MSCI ACWI 0.26% โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ Outperform กว่าหุ้นขนาดเล็กมาก อาทิดัชนีหุ้นใหญ่ SET50 +2.17% สูงกว่าหุ้นขนาดเล็ก MAI +0.19%
ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงผลักดันจาก Fund Flow ที่ซื้อสุทธิหุ้นไทยกว่า 4.1 พันล้านบาท (มากสุดเป็นอันดับ 5 ของปีนี้) โดยฝ่ายวิจัยทำการค้นหาหุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิทางตรง มากสุดในวันที่ 8 พ.ค. 66 ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขน่าดใหญ่
นอกจากนี้ยังเห็น Fund Flow ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้สูงถึง 2.8 หมื่นล้านบาท (mtd) ซึ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุ
สรุปภายใต้ SET Index ปัจจุบันมีระดับ Trailing P/E 18.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ 19.5 เท่า รวมถึง Fund Flow มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อในช่วง Election Rally ดังนั้นกลยุทธ์แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่ สภาพคล่องสูง อย่าง KBANK, ADVANC, AOT (BK:AOT), BEM, TASCO, SCGP, CPALL (BK:CPALL), SAWAD, CRC ส่วน Top pick วันนี้เลือก KBANK, SAWAD, BEM
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities