แม้ภาพในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2566 เราจะมองภาพตลาดในมุมที่ไม่สดใส แต่ ในช่วงครึ่งหลังของ 2Q66 ต่อเนื่องถึงต้น 3Q66 น่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความหวัง ที่ SET Index อาจเปิดช่องให้สามารถทำกำไรได้ เหตุเพราะเราเห็นปัจจัยบวก หลายเรื่องที่เข้ามาพร้อมๆ กัน เริ่มจากทิศทางดอกเบี้ยของ Fed ที่เห็นสัญญาณ การทรงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25% โดยเราคาดว่ามีโอกาสที่จะคงอัตรา ดอกเบี้ยไว้จนถึงปลายปี 2566 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาพบว่าช่วงที่ Fed คงดอกเบี้ย ตลาดหุ้นมักปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกครั้ง ประเด็นที่ 2 คือ Sentiment จากการเลือกตั้ง ซึ่งพบว่า SET Index มักปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ประเด็นที่ 3 เป็นเรื่อง ผล ประกอบการ 1Q66 ที่คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวชัดเจน QoQ และสุดท้ายหากมอง Valuation ตลาดผ่าน Market Earning Yield Gap ก็พบว่าตลาดหุ้นเรายังถูก
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีหลายปัจจัยบวกที่เข้ามาพร้อมๆ กัน น่าจะทำให้ SET Index มีโอกาสดีดตัวสูงขึ้น ระยะสั้นมองว่าความเสี่ยงที่จะหลุด 1520 ลดลง วันนี้ คาดอยู่ในกรอบ 1520-1546 จุด Top Pick เลือก SAWAD, SNNP และ TASCO
แรงกดดันการขึ้นดอกเบี้ยเบาลง หนุนตลาดหุ้นขยับขึ้น
การประชุมของ Fed และ ECB รอบเดือน พ.ค. ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มเห็นแนวทาง ดำเนินนโยบายการเงินระยะถัดไปที่แตกต่างกันมากขึ้น ดังนี้
• Fed ขึ้นดอกเบี้ย 25bps. สู่ระดับ 5.25% สูงสุดนับแต่เดือน ส.ค. 2007 โดย ภาษาในถ้อยแถลงเปลี่ยนไปจากการประชุมครั้งก่อนๆ จากเดิมที่มักส่งสัญญาณ ปรับขึ้นดอกเบี้ย ได้ปรับเป็นการขอพิจารณาข้อมูลที่เข้ามาก่อนการตัดสินใจ ดำเนินนโยบายการเงิน แต่ยังคงย้ำถึงเป้าหมายในการกดเงินเฟ้อลงสู่เป้าหมาย 2%
• ECB ขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.75% โดยเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 6 ติดต่อกัน และ ECB อาจะมีแนวโน้มเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อในยุโรปยังสูงถึงระดับ 7.0% ในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 6.9% ในเดือนมี.ค. ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ความเสี่ยง Geopolitical Risk ยังคง มีอยู่
ขณะที่ระยะถัดไป Fed Watch Tool คาดว่า Fed จะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25% ไป จนถึงช่วง 2Q66 ก่อนที่จะปรับลดดอกเบี้ยในปลายเดือน ก.ย. 66 ซึ่งจากข้อมูลสถิติที่ ผ่านมาตลาดหุ้นมักขยับขึ้นในช่วง Fed คงดอกเบี้ย อย่างเช่นในช่วงกลางปี 2006 -2007 ที่ SET Index +19.73% หลัง Fed คงดอกเบี้ยไว้นานกว่า 14 เดือน
นอกจากนี้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง สะท้อนจากการจ้างงานนอกภาค การเกษตรเดือน เม.ย. อยู่ที่ 253,000 ตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาดที่ 180,000 ตำแหน่ง และสูงกว่าเดือนก่อนที่ 1.65 แสนตำแหน่ง รวมถึงอัตราการว่างงานเดือน เม.ย. อยูที่ 3.4% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.6% และต่ำกว่าครั้งก่อนที่ 3.5% ซึ่งอาจทำให้การชะลอตัว ทางเศรษฐกิจอยู่ในรูปแบบของ Soft Landing โดยจากปัจจัยเชิงบวกข้างต้นหนุนให้ ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงวันหยุดบ้านเรา 2 วันที่ผ่านมา
ในมุมราคาน้ำมันดิบ ปัจจุบันอยู่ที่ 75 เหรียญ ได้มีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 ที่อยู่สูงเกิน 110 เหรียญ หลังมีความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์เข้า มาเป็นระยะๆ แม้ปัจจุบันยังต้องติดตามในกรณีของรัฐบาลรัสเซียได้กล่าวหายูเครนที่ส่ง โดรน 2 ลำโจมตีทำเนียบเครมลิน เพื่อมุ่งสังหารประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งอาจ เป็นฉนวนให้สงครามรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตามด้วยแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยที่ น้อยลง ทำให้ราคาน้ำมันปัจจุบันเริ่มกลับมาอยู่ใกล้ระดับก่อน COVID-19 และน่าจะ หนุนให้ความผันผวนของราคาน้ำมันลดลงอยูในกรอบ 70-78 เหรียญฯ รวมถึงความ กังวลเรื่องพลังงานแพงมีแนวโน้มจะค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น เชื่อว่าจะเป็นอานิสงค์เชิง บวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti-Community อาทิ TASCO, III, GPSC, BGRIM, GULF
สรุป Fed มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25% ในระยะถัดไป บวกกับตลาดแรงงาน สหรัฐฯมีแนวโน้มแข็งแกร่ง ซึ่งอาจทำให้การชะลอตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในรูปแบบของ Soft Landing หนุนให้ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นในช่วงนี้ นอกจากนี้ราคาน้ำมันปัจจุบัน เริ่มกลับมาอยู่ใกล้ระดับก่อน COVID-19 ซึ่งน่าจะหนุนให้ความผันผวนของราคา น้ำมันลดลง รวมถึงความกังวลเรื่องพลังงานแพงมีแนวโน้มจะค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น
ค้นหาหุ้นเด่นรับเงินเฟ้อไทยมีโอกาสชะลอต่อเนื่อง หลังเดือน เม.ย. +2.67%YOY ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน
วันพุธที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน เม.ย. + 2.67%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.7%YoY และเดือนก่อนหน้า 2.83%YoY) อยู่ในระดับ ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน หลักๆ ลดลงจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้ากลุ่มอาหารสด อาทิ เนื้อสัตว์ ผักสด ฯลฯ และยังเริ่มเห็นการชะลอตัวของ Core CPI ล่าสุดอยู่ที่ + 1.66%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 1.7%YoY และเดือนก่อนหน้า 1.75%YoY) อยู่ในระดับ ต่ำสุดในรอบ 13 เดือน
นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มชะลอตัวเข้าสู่กรอบ เป้าหมายเร็วขึ้นในงวด 2Q66 จากเดิม 3Q66 อยู่ที่ 1.7 - 2.7% (ค่ากลาง 2.2%) หลัง ราคาสินค้าหลายรายการเริ่มทรงตัว ประกอบกับฐานราคาปี 2565 อยู่ในระดับสูง
ขณะเดียวกันฝ่ายวิจัยฯได้ทำแบบจำลองเงินเฟ้อไทย พบว่า เงินเฟ้อมีโอกาสต่ำกว่ากรอบ เป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์และธปท.ที่ 2.2% - 3% รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง พลิกกลับมาเป็นบวกใน 2Q66 ได้ (เดือน พ.ค. คาดเงินเฟ้อเหลือ 1.44%YoY และ ดอกเบี้ยที่แท้จริงพลิกกลับมาบวก 0.31%)
ส่งผลให้ กนง. อาจคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีหรืออย่างมากที่สุดก็ปรับขึ้นอีก 1 ครั้ง สู่ระดับ 2% ถือเป็นปลายทางของดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบนี้ ซึ่งตามกลไกจะช่วยหนุนให้ SET Index ซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้น ดังนั้นดัชนี 1500 ต้นๆ ถือเป็นจังหวะในการสะสม หุ้นพื้นฐาน และหุ้นได้ประโยชน์เงินเฟ้อชะลอ โดยฝ่ายวิจัยคัดกรองและแบ่งออกมาเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นเด่นรับเงินเฟ้อชะลอตัว
• หุ้นการเงิน MTC SAWAD JMT
• หุ้นอุปโภคบริโภค SNNP CBG CRC CPN CPALL (BK:CPALL) BGRIM GPSC ADVANC
• หุ้นปันผลสูง AP TU RATCH
ส่วนวันนี้ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน SET มีโอกาสขยับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบ 1525 – 1540 จุด แนะนำหุ้น Anti-Commodity อย่าง TASCO หุ้นได้ประโยชน์เงินเฟ้อชะลอ SAWAD, SNNP เป็น Top pick ในวันนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities