FOMC / BAM & CHAYO
• SET: คาดดัชนี SET เปิดตลาดปรับตัวลดลง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Oil & Gas ที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงแรงของราคาน้ามัน บ เมื่อคืนนี้ หลังนักลงทุนบางส่วนกังวลเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงอาจไม่รุนแรงเท่ากับตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ที่มี ปัจจัยกดดันเฉพาะตัว อย่างปัญหาในระบบธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯที่ดู เหมือนจะยังไม่สิ้นสุดเสียทีเดียว ส่วนประเด็น Fund flow ที่น่าสนใจเมื่อ พบการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทยกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ถือเป็นมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา คาดเป็นการ ประมูลพันธบัตร BoT ส่วนใหญ่
• Strategy: มองกรอบการแกว่งตัวของ SET ในเดือนพ.ค.ที่ระดับ 1500-1630 จุด ซึ่งระดับ 1630 จุดถือเป็นระดับดัชนี SET ที่เหมาะสม ในกรณีดีสุด (Best case) ของเราใหม่ แนะนําถือครองหุ้นที่ได้เข้า สะสมมาก่อนหน้านี้ที่บริเวณแนวรับ 1580 จุดกับ 1550 จุดเพื่อ คาดหวังการ Take profit ในช่วงกลางเดือนพ.ค. หรืออย่างช้า หลังจากการเลือกตั้ง 1 สัปดาห์ โดยกลุ่มหุ้นที่แนะน่าถือครองยังคง ได้แก่ กลุ่มภาคบริการของไทยที่ยังคงเห็น Demand แข็งแกร่ง ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ทนทานต่อแรงกดดันเงินเฟ้อ และมักอยู่ ในธีม Election rally ในอดีต อย่างกลุ่มธนาคาร (BBL, KTB) โรงพยาบาล (BH, BDMS) และค้าปลีก (CPALL (BK:CPALL), MAKRO, BJC) ผสมผสานกับกลุ่ม หุ้นที่มีธีมสนับสนุนในช่วง 1 เดือนข้างหน้า อย่างหุ้นที่เราค่านวณว่าจะถูก คัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SET50 ซึ่งได้แก่ TLI และ WHA ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้อง กับพรรคการเลือกตั้งที่อาจเป็นสีสันสําหรับการเก็งกําไรในช่วง 2 สัปดาห์ แรกของเดือน มองไปยัง SC, SIRI, PR9 เป็นต้น
• FOMC: สําหรับปัจจัยวันนี้ แนะนํา ดตามผลการประชุม FOMC ซึ่งคงจะมี การขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แน่นอนแล้ว ดังนั้น ไฮไลท์จะไปอยู่ที่ Statement และการตอบคําถามของนาย Jerome Powell แทน หากโทนออกมาในเชิง Dovish และตลาดตีความถึงขั้นที่ว่า Fed จะยุติวงจรขาขึ้นดอกเบี้ยไว้ ณ รอบนี้แล้ว คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงจะตอบรับในเชิงบวกได้
• BAM: เราปรับลดประมาณการกําไรทั้งปี 2023 ลงราว 13% จากประมาณการก่อนหน้า เหลือ 2,866 ล้านบาท (+5%YoY) และราคาเป้าหมายลงเหลือ 17 บาทจากเดิม 20 บาท อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นได้ปรับลงมาพอสมควร โดยซื้อขายกันที่ระดับ Forward PBV 0.9 เท่า และค่ากว่าระดับ NAV ที่ 15 บาท จึงคงคําแนะนํา “ซื้อ” ในเชิง พื้นฐาน ทั้งนี้ คาดการณ์กําไร 1Q66 ที่ระดับ 334 ล้านบาท อ่อนตัว 61%QoQ แต่ยังเติบโต 7%YoY โดยคาดยอดจัดเก็บจาก NPL และ NPA อ่อนตัว QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทางการเงินคาดปรับตัว ขึ้นตามแนวโน้มดอกเบี้ยในตลาด ในส่วนการซื้อหนี้คาดว่าอยู่ที่ราว 2.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเนื่องจากสถาบันการเงินน่าหนี้ เป้าซี้อหนี้ที่ทางบริษัทตั้งไว้ที่ขั้นต่า 9 พันล้านบาทได้ไม่ยาก ออกมาขายมากขึ้นหลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ทําให้คาดว่าจะถึง
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities