คาด SET INDEX อ่อนตัวลง 1265 – 1273 บรรยากาศการลงทุนวันนี้เป็นไปในลักษณะซึมๆ อย่าง Dow Jones ปิดไร้ทิศทาง ( - 0.1%) และอาจเผชิญแรงกดดัน จากกลุ่มน้ำมันหลังราคาน้ำมันดิบ BRENT อ่อนตัวลง 2.4%
ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ที่ประชุม ครม. มีมติต่ออายุ พ.ร.ก. ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน (เคอร์ฟิว 4 ทุ่ม - ตี 4 , คุมเข้มการเดินทางข้ามจังหวัด) แต่ให้วันหยุดนักขัต ฤกษ์เดือน พ.ค. หยุดตามเดิม ส่วนการผ่อนคลายธุรกิจอยู่ระหว่างรอการพิจารณา ของคณะกรรมการฯหน่วยงานต่างๆแต่จะมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ ตามสำหรับ กทม. ทางผู้ว่า กทม. เผยว่า 8 ประเภทจะสามารถเปิดได้ตั้งแต่ 1 พ.ค. (โดยจะนำเข้าที่ประชุมวันนี้)
1. ร้านอาหาร (ทานที่ร้านได้ เว้นระยะ แต่ห้ามมีแอลกอฮอล์)
2. ตลาดนัด (ขายได้ทุกประเภท)
3. สถานที่ออกกำลังกายแต่เป็นประเภทมีระยะห่างกัน (เดิน วิ่ง แบดมินตัน )
4. สวนสาธารณะ (พักผ่อนได้ แต่ห้ามจับกลุ่มสังสรรค์)
5. ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย (ตัด สระ ไดร์ เท่านั้น)
6. โรงพยาบาลสัตว์
7. คลินิก สถานพยาบาล
8. สนามกอล์ฟและสนามฝึกซ้อม
จากมาตรการข้างต้นมองว่าจะเป็นบวกต่อค้าปลีกขนาดย่อม (BJC CPALL (BK:CPALL)) ร้านอาหาร (AU CENTEL M MINT OISHI ZEN) แต่เชื่อว่าจะส่งผลต่อผลประกอบการ จำกัดเนื่องจากยังคงต้องเว้นระยะห่างในการรับประทาน และเชื่อว่าประชาชนจะยังไม่กลับมาใช้บริการเหมือนก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามช่วยจำกัด Downside ของผล ประกอบการได้ ส่วนอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์คือ (CPN) ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้เข้า มาจากการเก็บค่าเช่าหลังจากงดเก็บไปก่อนหน้านี้ ซึ่งค่าเช่าในโซนอาหารคิดเป็นราว 20 -30% ของรายได้รวมอย่างไรก็ตามด้วยราคาหุ้นชุดข้างต้นปรับตัวขึ้นมาพอสมควร เชื่อว่าสะท้อนความคาดหวังนักลงทุนไปพอสมควรแล้ว จึงแนะจังหวะย่อตัวค่อยพิจารณา ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะถือครองเงินสดไม่ต่ำกว่า 70% ส่วนอีก 30% แนะน้าหุ้น โรงไฟฟ้า (BGRIM EGCO GPSC RATCH) CGS Coverage ที่มีปัจจัยเฉพาะ (AUCT)
Stock Pick
AUCT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 9.6 บาท) คาดกำไรสุทธิ 1Q20 ที่ 69 ล้านบาท +16 %YoY - 7 %QoQ หนุนจากการเพิ่มขึ้นของ NPL พร้อมคาดว่า 2Q20 จะเป็นจุดต่ำสุดของผลประกอบการจากนั้นจะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่ากำไรทั้งปี 20 จะ เติบโตได้ราว 12.7 %YoY ขณะเดียวกันหุ้นของบริษัทมีจุดน่าสนใจจากเงินปันผลเฉลี่ย 5 - 6 %
JUBILE (ถือ / ราคาเป้าหมาย 15 บาท) ปรับลดคำแนะนำเหลือเพียง “ถือ ” โดยคาด กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 47 ล้านบาท ( -12 %YoY -58 %QoQ) ผลจากยอดขายต่อสาขาที่ลดลงช่วง มี.ค. และมีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อเนื่องใน 2Q20 จากมาตรควบคุมโรค ขณะที่คาดการลดกำลังการผลิตของ De beers ไม่มีผลกระทบต่อต้นทุนบริษัท
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ cgsec.co.th